ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Juan Hernadez

    แผ่นดินไหวที่แข็งแกร่งขึ้นในวันนี้ (22/06/2019)
    IMG_3172.JPG
    แผ่นดินไหว #โอเรกอน 5.4 ✔️

    แผ่นดินไหว #แคนซัส 4,6 ✔️

    แผ่นดินไหว #เม็กซิโก 5.6 ✔️

    แผ่นดินไหว #แคลิฟอร์เนีย 5.6 ✔️


    พร้อมเสมอ!!


    Sismos mas fuertes de hoy (22/06/2019)

    Sismo #Oregon 5.4 ✔️

    Sismo #Kansas 4,6 ✔️

    Sismo #México 5.6 ✔️

    Sismo #California 5.6 ✔️


    Estar siempre preparados!!


     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Juan Hernadez

    IMPACTANTE
    ท้องฟ้าจึงถูกสังเกตหลังจากการปะทุของภูเขาไฟ raikoke ในทะเล

    ภูเขาไฟนี้ไม่ได้ใช้งานนานกว่า 80 ปีมาแล้วตั้งอยู่บนเกาะคูเลสในประเทศรัสเซีย
    2019/06/21

    IMG_3173.JPG IMG_3174.JPG IMG_3175.JPG

    IMPACTANTE


    Así se observó el cielo después de la potente erupción del volcán raikoke en el mar


    Este volcán tenía más de 80 años inactivo se ubica en la isla Kuriles en Rusia

    21.06.2019


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหรอกครับ แค่หนังฝรั่ง

    Juan Hernadez
    รอยเลื่อน San Andreas !!!!

    แคลิฟอร์เนียพร้อมหรือยัง เกิดแผ่นดินไหว ขึ้นขนาด M5.5

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodolfo Martin Brenes Salvatierra

    แผ่นดินไหว 5.4 ในเสฉวน ประเทศจีน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ19 คน #22 มิ. ย.

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    แผ่นดินไหว ขนาด 5.6 แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ

    วันที่ 2019-06-23 เวลา10: 53: 03.4 น. ตามเวลาประเทศไทย

    ตำแหน่ง 40.23 N; 124.26 W

    ความลึก 12 กม

    Macroseismic
    ผลกระทบของความเข้ม IV: สังเกตได้มาก

    19E64BD7-EC3F-4DF9-B9A8-CEF40F797F51-1125-000000B3AD725458.png 9E055CEB-65E6-4D69-B08D-CF7F5F37E08E-1125-000000B3B3CBB7D9.png C5DB07DE-CB22-43A8-94ED-78AB608CCDAF-1125-000000B3C400255B.png D92B6B11-A973-4C2B-BAB9-F8E74B7FA582.jpeg

    Magnitude 5.6

    Region NORTHERN CALIFORNIA

    Date time 2019-06-23 03:53:03.4 UTC

    Location 40.23 N ; 124.26 W

    Depth 12 km

    Macroseismic

    Intensity IV Effects: Largely Observed

    Distances

    869 km NW of Los Angeles, United States / pop: 3,793,000 / local time: 20:53:03.4 2019-06-22


    300 km NW of Sacramento, United States / pop: 467,000 / local time: 20:53:03.4 2019-06-22


    64 km S of Eureka, United States / pop: 27,200 / local time: 20:53:03.4 2019-06-22


    33 km SW of Rio Dell, United States / pop: 3,400 / local time: 20:53:03.4 2019-06-22


    https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?evid=772860
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทีมสอบสวนนานาชาตินำโดยเนเธอร์แลนด์แถลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัย 4 คน เป็นชาวรัสเซีย 3 คน และชาวยูเครน 1 คน ในข้อหาฆาตกรรม เนื่องจากเป็นผู้นำมิสไซล์ของรัสเซียเข้าสู่ดินแดนตะวันออกของยูเครน และมิสไซล์ลูกนี้ถูกนำมาใช้ยิงเครื่องบินโบอิ้งของมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบินเอ็มเอช 17 จากนครอัมสเตอร์ดัมไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557 ผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด 298 คน


    นายกฯ มหาเธร์กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่เมืองปุตราจายา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน ว่า ผลสอบสวนที่ออกมาเราไม่สบายใจอย่างยิ่ง เพราะว่าเรื่องนี้ถูกนำไปเป็นเรื่องการเมืองตั้งแต่ต้น เพื่อต้องการกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของรัสเซีย แม้แต่ก่อนการสอบสวน พวกเขาก็บอกก่อนแล้วว่าเป็นฝีมือของรัสเซีย และในตอนนี้พวกเขาบอกว่ามีหลักฐาน แต่เป็นเรื่องยากมากสำหรับเราที่จะยอมรับผลการสอบสวนนี้ ผลสอบสวนที่ออกมาเป็นเรื่องไร้สาระ.....


     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    การบริการสุขภาพและคุณภาพอาหารเกษตรแห่งชาติ (Senasa) เตือนว่าการระบาดของตั๊กแตนสามารถเข้าถึง Chaco ปารากวัย 20 มิถุนายน 2019
    รายงานว่ามีฝูงตั๊กแตนจำนวนมากในปารากวัยเคลื่อนตัวไปทางทิศใต้และมีการแจ้งเตือนสำหรับฟอร์โมซา, ชาโค, ซัลตาและJujuy
    http://www.diarionorte.com/180093-senasa-advierte-que-una-plaga-de-langostas-podria-llegar-al-chaco
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Setiawan

    ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ถึง # ยาว, #ลึก Solar Minimum

    FB_IMG_1561291715119.jpg

    นั่นเป็นหนึ่งในการคาดการณ์ที่ออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยคณะผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศซึ่งรวมตัวกันที่การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องสภาพอากาศทางอวกาศประจำปีของ NOAA เพื่อคาดการณ์วัฏจักรสุริยะต่อไป หากพาเนลถูกต้องจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ต่ำที่มีอยู่แล้วจะมาถึงจุดต่ำสุดในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2562 ถึงเดือนกันยายน 2563 ตามด้วยการฟื้นตัวอย่างช้าๆไปสู่ค่าสูงสุดของพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่ในปี 2566-2569
    "เราคาดว่า Solar Cycle 25 จะคล้ายกับ Cycle 24: อีกค่าสูงสุดที่ค่อนข้างอ่อนแอนำหน้าด้วยความลึกขั้นต่ำสุดที่ยาวนาน" ลิซ่า อัพตันประธานร่วมของแผงเซลล์แสงอาทิตย์กล่าวกับ Space Systems Research Corp.
    วัฏจักรสุริยะเป็นเหมือนลูกตุ้มแกว่งกลับไปกลับมาระหว่างช่วงเวลาที่มีจำนวนจุดดับสูงและต่ำทุก ๆ 11 ปี นักวิจัยได้ติดตามวงจรตั้งแต่ค้นพบในศตวรรษที่ 19 ไม่ใช่ทุกรอบเหมือนกัน บางแห่งมีความรุนแรงมีจุดดับและเปลวไฟจากดวงอาทิตย์จำนวนมาก ยุคอวกาศเริ่มต้นด้วยการเติบโตสูงสุดของพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนCycleอื่น ๆ นั้นอ่อนแอเช่น Solar Cycle 24 ล่าสุดซึ่งพุ่งสูงสุดในปี 2555-2557 โดยมีการกิจกรรมค่อนข้างน้อย
    นักวิจัยยังคงเรียนรู้ที่จะทำนายการลดลงและการไหลของกิจกรรมแสงอาทิตย์ เทคนิคการพยากรณ์นั้นมีตั้งแต่แบบจำลองทางกายภาพของไดนาโมแม่เหล็กภายในของดวงอาทิตย์ไปจนถึงวิธีการทางสถิติซึ่งเหมือนกับวิธีที่นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นใช้
    "เราประเมินการคาดการณ์ประมาณ 61 รายการในหมวดหมู่ต่อไปนี้: ภูมิอากาศ, ไดนาโม, การเรียนรู้ของเครื่อง / เครือข่ายประสาท, วิธีการตั้งต้น, วิธีสเปกตรัม / สถิติ, การขนส่งฟลักซ์พื้นผิวและอื่น ๆ " อัพตันกล่าว "คนส่วนใหญ่ตกลงกันว่า Solar Cycle 25 จะคล้ายกับ Solar Cycle 24 มาก"
    "ที่นี่" เธอพูด "เป็นตัวเลขที่แสดงค่าต่ำสุดสุดท้ายและตำแหน่งที่เราอยู่ด้วยค่าต่ำสุดในปัจจุบัน"
    อย่างที่คุณเห็น - เรายังไม่ถึงระดับต่ำสุดของวัฏจักรสุดท้าย - ที่ซึ่งเราประสบหลายเดือนติดต่อกันโดยไม่มีจุดดับ อย่างไรก็ตามคณะผู้พิจารณาคาดว่าเราควรจะไปถึงระดับเหล่านั้น [ระหว่างนี้ถึงสิ้นปี 2563] "
    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในอินเทอร์เน็ต มีการแสดงความคิดที่ว่าสุดยอดพลังงานแสงอาทิตย์ขั้นต่ำเช่นthe 70-year Maunder Minimum ของศตวรรษที่ 17 อาจเป็นโลกช่วยให้เรารอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่สิ่งที่panel พูด
    "ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าขณะนี้เรากำลังเข้าใกล้ขั้นต่ำประเภท Maunder ในกิจกรรมแสงอาทิตย์" Upton กล่าว พลังงานแสงอาทิตย์ขั้นต่ำจะลึก แต่ไม่ลึกเช่นนั้น
    การคาดการณ์ของ panel, Solar Cycle 25 "ค่อนข้างอ่อนแอ" นั่นหมายความว่าอะไร? การบอกว่าวัฏจักรสุริยะ "อ่อนแอ" เป็นเหมือนการบอกว่าฤดูพายุเฮอริเคนจะ "อ่อนแอ" กล่าวอีกนัยหนึ่งอาจมีพายุน้อยลง แต่เมื่อมีพายุเข้ามา Solar Cycle 24 "ที่อ่อนแอ" ผลิตเปลวไฟสุริยะคลาส X จำนวนมาก, สร้างพายุสนามแม่เหล็กโลกที่รุนแรง, และแม้แต่เหตุการณ์ระดับพื้นดิน (GLE) เมื่ออนุภาคพลังงานแสงอาทิตย์มาถึงพื้นผิวโลก Solar Cycle 25 "ที่อ่อนแอ" สามารถทำได้อย่างเท่าเทียมกัน 3 หรือ 4 ปี เช่นเดียวกัน
    สนามแม่เหล็กที่ลดลงของดวงอาทิตย์ยังช่วยให้รังสีคอสมิกเข้าสู่ระบบสุริยะ อนุภาคพลังจากห้วงอวกาศแทรกซึมชั้นบรรยากาศของโลก ด้วยผลกระทบมากมายที่เป็นไปได้ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศไปจนถึงปริมาณรังสีพิเศษสำหรับคนบนเครื่องบิน
    ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็หรี่ลงโดยเฉพาะในช่วงความยาวคลื่นอุลตร้าไวโอเล็ตที่รุนแรง ในทางกลับกันทำให้บรรยากาศชั้นบนก็เย็นลงและหดตัว .....
    Finally, the sun dims, especially at extreme ultraviolet wavelengths. This, in turn, causes the upper atmosphere to cool and contract. Aerodynamic drag that would normally cause satellites to decay is reduced; space junk accumulates. This effect makes solar minimum a terrible time to blow up satellites–although people do it anyway.
    Experts Predict a #Long, #DeepSolarMinimum.
    That was one of the predictions issued last week by an international panel of experts who gathered at NOAA’s annual Space Weather Workshop to forecast the next solar cycle. If the panel is correct, already-low sunspot counts will reach a nadir sometime between July 2019 and Sept 2020, followed by a slow recovery toward a new Solar Maximum in 2023-2026.
    “We expect Solar Cycle 25 will be very similar to Cycle 24: another fairly weak maximum, preceded by a long, deep minimum,” says panel co-chair Lisa Upton, a solar physicist with Space Systems Research Corp.
    The solar cycle is like a pendulum, swinging back and forth between periods of high and low sunspot number every 11 years or so. Researchers have been tracking the cycle since it was discovered in the 19th century. Not all cycles are alike. Some are intense, with lots of sunspots and explosive solar flares; the Space Age began with a big booming solar maximum. Others are weak, such as the most recent, Solar Cycle 24, which peaked in 2012-2014 with relatively little action.
    Researchers are still learning to predict the ebb and flow of solar activity. Forecasting techniques range from physical models of the sun’s inner magnetic dynamo to statistical methods akin to those used by stock market analysts.
    “We assessed ~61 predictions in the following categories: Climatology, Dynamo, Machine Learning/Neural Networks, Precursor Methods, Spectral/Statistical Methods, Surface Flux Transport, and Other,” says Upton. “The majority agreed that Solar Cycle 25 would be very similar to Solar Cycle 24.”
    “Here,” she says, “is a figure showing the last minimum and where we are with the current minimum.”
    “As you can see – we haven’t quite reached the lowest levels of the last cycle – where we experienced several consecutive months with no sunspots. However, the panel expects that we should reach those levels [between now and the end of 2020].”
    In recent years, the Internet has buzzed with the idea that a super-deep solar minimum such as the 70-year Maunder Minimum of the 17th century might cool the Earth, saving us from climate change. That’s not what the panel is saying, however.
    “There is no indication that we are currently approaching a Maunder-type minimum in solar activity,” says Upton. Solar minimum will be deep, but not that deep.
    The panel predicts a “fairly weak” Solar Cycle 25. What does that mean? Saying that a solar cycle is “weak” is a bit like saying hurricane season will be “weak.” In other words, there may be fewer storms, but when a storm comes, you’d better batten down the hatches. “Weak” Solar Cycle 24 produced a number of intense X-class solar flares, strong geomagnetic storms, and even a Ground Level Event (GLE) when solar energetic particles reached Earth’s surface. An equally “weak” Solar Cycle 25 could do the same 3 or 4 years hence.
    The sun’s weakening magnetic field also allows cosmic rays to enter the solar system. Energetic particles from deep space penetrate Earth’s atmosphere with a myriad of possible effects ranging from changes in upper atmospheric electricity to extra doses of radiation for people on airplanes.
    Finally, the sun dims, especially at extreme ultraviolet wavelengths. This, in turn, causes the upper atmosphere to cool and contract. Aerodynamic drag that would normally cause satellites to decay is reduced; space junk accumulates. This effect makes solar minimum a terrible time to blow up satellites–although people do it anyway.
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Jun 22) สงครามการค้ายืด ฉุด'แอร์คาร์โก้'เอเชีย : สงครามการค้าที่ยัง ไม่จบสิ้นในขณะนี้ระหว่างสหรัฐกับจีน ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความต้องการ ขนส่งสินค้าทางอากาศ (แอร์ คาร์โก้) สำหรับเหล่าสายการบินของเอเชีย แต่ท่ามกลางวิกฤตินี้ก็อาจมีโอกาสซ่อนอยู่
    PSX_20190623_193416.jpg
    แอนดรูว์ เฮิร์ดแมน ผู้อำนวยการสมาคมสายการบินภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (เอเอพีเอ) ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ซีเอ็นบีซี ในเดือนนี้ว่า บรรดาสายการบินเอเชียเป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศ และครองสัดส่วนเกือบ 40% ของปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศทั่วโลก

    "เราเริ่มเห็นผลกระทบแล้ว เราไม่ใช่เพียง ผู้สังเกตการณ์อีกต่อไป" เฮิร์ดแมนเผย ระหว่างการประชุมทั่วไปประจำปีของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาต้า) ในกรุงโซลของเกาหลีใต้ และว่า "เมื่อเทียบปีต่อปี เราจะเห็นการเติบโตติดลบในการขนส่งสินค้า เราเคยเห็นการเติบโตชะลอตัว เมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้การเติบโตรายปีติดลบ นั่นเป็นการเริ่มต้นปีที่ซบเซามาก"

    เฮิร์ดแมนเสริมว่า สงครามการค้าไม่ได้มีผลกระทบแค่เพียงสหรัฐและจีนเท่านั้น แต่ยังสร้างความปั่นป่วนต่อห่วงโซ่อุปทาน (ซัพพลายเชน) โลกในประเทศอื่นๆ ของเอเชียด้วย

    เมื่อเดือนที่แล้ว ไออาต้าเผยข้อมูลตลาดการขนส่งสินค้าทางอากาศโลก พบว่า ความต้องการทั่วโลกลดลง 4.7% เทียบกับปีที่แล้วในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้แนวโน้มเชิงลบต่อความต้องการยังดำเนินต่อไปหลังจากเริ่มต้นเมื่อเดือนม.ค. ขณะที่ความต้องการของสายการบินเอเชียแปซิฟิกร่วง 7.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน นับเป็นการลดลงเดือนที่ 6 ติดต่อกันสำหรับภูมิภาคนี้

    ไออาต้าชี้ว่า ความไม่แน่นอนทางการค้า ซึ่งเป็นผลจากการออกจากสหภาพยุโรป ของอังกฤษ หรือ "เบร็กซิท" เช่นเดียวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทำให้ยอดคำสั่งส่งออกใหม่ลดลง และความซบเซามีแนวโน้มที่จะคงอยู่ต่อไปในหลายเดือนข้างหน้า

    "เอเชียเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าหรือลัทธิปกป้องการค้า เนื่องจากเส้นทางจราจรหลักในแง่ของการบรรทุกสินค้า ล้วนอยู่ในเอเชียหรือออกจากเอเชียไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก" อเล็กซานเดอร์ เดอ จูเนียก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) และผู้อำนวยการไออาต้าเผยกับซีเอ็นบีซี

    นอกจากนั้น ไออาต้าได้หั่นแนวโน้มผลกำไรสำหรับสายการบินในปีนี้ โดย คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 3 หมื่นล้านดอลลาร์ที่รายงานเมื่อปี 2561 ก่อนหน้านี้ ไออาต้าคาดการณ์ไว้ว่า ผลกำไรปี 2562 น่าจะอยู่ที่ 3.55 หมื่นล้านดอลลาร์

    เฮิร์ดแมนระบุว่า ผลประกอบการ สำหรับช่วงครึ่งปีหลังยังคงคาดเดา ได้ยาก สำหรับสายการบินเอเชียแปซิฟิก อาจต้องคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่อง การจัดหาสินค้าและพิจารณาว่าบริษัทต้องการเปลี่ยนทิศทางซัพพลายเชน ของตนและสร้างความหลากหลายให้กับแหล่งกำเนิดสินค้าหรือไม่

    เขาเสริมว่า บรรดาสายการบินยังเผชิญกับความท้าทายอื่นๆ รวมไปถึงราคา เชื้อเพลิงที่สูงขึ้นซึ่งทำให้ส่วนต่างรายได้ ของบริษัทเหือดหายเนื่องจากต้นทุน ส่วนใหญ่นี้ไปไม่ถึงผู้โดยสาร

    อย่างไรก็ดี อลัน จอยซ์ ซีอีโอ สายการบินแควนตัส ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติออสเตรเลีย เผยกับซีเอ็นบีซีว่า จนถึงขณะนี้ แควนตัสยังไม่ได้รับผลกระทบ จากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน

    "แม้สุดท้ายแล้ว สงครามการค้า อาจมีผลกระทบกับเรา เนื่องจากพันธมิตรการค้ารายใหญ่ที่สุดของเราคือจีนและสหรัฐ แต่เราก็มีข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับทั้ง 2 ประเทศ" จอยซ์เผย และ เสริมว่าภาคอุตสาหกรรมเฉพาะของออสเตรเลียกำลังอยู่ในช่วงเฟื่องฟู เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ

    ซีอีโอแควนตัส ระบุว่า สายการบิน ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและตลาดการสันทนาการนอกออสเตรเลียมีความแข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว "ในภาพรวม เรามีปัจจัยแวดล้อมด้านรายได้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยทำได้ในประวัติศาสตร์ 99 ปีของเรา" แม้จะมีแนวโน้มเชิงลบในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าทางอากาศ แต่ความต้องการ ผู้โดยสารยังคงมีเสถียรภาพ

    ในรายงานอีกฉบับของไออาต้าที่ เผยแพร่ในเดือนพ.ค. ระบุว่า ความต้องการ เดินทางของผู้โดยสารทั่วโลกสำหรับ เดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 4.3% เทียบกับปีที่แล้ว เหล่าสายการบินภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกรายงานว่ามีการเดินทางเพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนเดียวกัน เทียบกับที่เคยเติบโต 2% ในเดือนมี.ค. แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว

    จูเนียกของไออาต้า เผยว่า แม้ความต้องการผู้โดยสารอาจยังเอาชนะภาวะชะลอตัวในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้า ทางอากาศไม่ได้ แต่ก็อาจชดเชยผลลัพธ์ ที่มีต่อการขนส่งสินค้าจากมาตรการปกป้องการค้าและสงครามการค้า

    ขณะที่เฮิร์ดแมน กล่าวว่า มีการเติบโตในจำนวนผู้โดยสารสำหรับทั้งเที่ยวบิน ระยะไกลและเที่ยวบินระยะใกล้ เช่นเดียวกับ ค่าบริการเสริมและการเดินทางพักผ่อน ขณะเดียวกัน ผู้โดยสารยังคงมีความเชื่อมั่น ในอุตสาหกรรมสายการบิน

    "พวกเขามีรายได้มากขึ้น รายได้ใน เอเชียยังสูงขึ้นเรื่อยๆ เราคาดว่าความต้องการจะเติบโตขึ้นอีก และคาดหวังว่าแนวโน้มนี้ จะยังเกิดขึ้นต่อไป ไม่ใช่เพียงในเอเชีย แต่ยังขยายไปทั่วโลก"

    อย่างไรก็ตาม เฮิร์ดแมน เตือนว่า หากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อเริ่มส่งผลกระทบ ต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในตลาดสำคัญ ก็อาจเกิดผลสะท้อนกลับในวงกว้างต่ออุตสาหกรรมสายการบิน

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    - Trade tensions have hit cargo demand in Asia, but there’s a silver lining for regional airlines, experts say:
    https://www.cnbc.com/2019/06/03/tra...-effect-on-asia-pacific-airlines-experts.html
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Jun 23) เงินร้อน ทะลัก! 9 หมื่นล้าน ฟันกำไร3เด้ง : นักวิเคราะห์ชี้ เงินร้อนทะลักไทย 20 วัน 9 หมื่นล้านบาท หวังกำไร 3 ต่อ "ส่วนต่างราคา-บาทแข็ง-ดอกเบี้ย" ชี้แรงเก็งกำไรจะรุนแรงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีเมื่อเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยและกนง.คงดอกเบี้ยที่ 1.75% ด้าน EXIM BANK เตือนผู้ส่งออก เลี่ยงเก็งกำไรค่าเงินทุกกรณี

    ช่วงเช้าวันที่ 21 มิถุนายน เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 30.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปี หรือแข็งค่าขึ้นกว่า 4% จากช่วงต้นปี 2562 ทำให้เงินบาทเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าเป็นอันดับต้นๆของโลก ซึ่งการแข็งค่าดังกล่าวเป็นผลจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้ โดยตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในหุ้นไทยแล้วกว่า 2.7 หมื่นล้านบาทและซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรราว 5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 50 จุด

    ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ระบุว่า กลุ่มที่น่าเป็นห่วงและได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการแข็งค่าของเงินบาทคือ ผู้ส่งออกที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศค่อนข้างสูง เช่น ผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหรือผู้ส่งออกสินค้าแปรรูป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออก SMEs ที่มีเงินทุนหมุนเวียนและอัตรากำไร(Margin)ไม่สูงนัก และไม่ได้เชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เท่ากับรายใหญ่ที่มีประสบการณ์มากกว่า

    "ผู้ส่งออกควรหลีกเลี่ยงการเก็งกำไรค่าเงินบาทในทุกกรณี แล้วหันมาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อจะได้ไม่ต้องกังวลกับค่าเงินในอนาคตและไม่ทำให้เงินในกระเป๋าลดลงโดยใช่เหตุ"

    นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีเปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น สาเหตุเพราะต่างชาติเข้ามาซื้อระยะสั้นรวม 9 หมื่นล้านบาท โดยซื้อพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี 6.3 หมื่นล้านบาทและหุ้น 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินร้อนที่ทะลักเข้ามาเพียง 20 วัน ขณะที่เม็ดเงินการค้าหรือส่งออกสุทธิยังชะลอตัวและภาคท่องเที่ยวเริ่มติดลบ ซึ่งต้องระวัง ช่วงที่เหลือเงินร้อนพวกนี้อาจไหลออกและเกิดความผันผวนสูง

    ขณะที่แนวโน้มการเคลื่อน ไหวค่าเงินบาทเป็นไปได้ทั้งแข็งและอ่อนค่า คาดว่าสิ้นปีไม่ทะลุ 30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนเงินร้อนที่เข้ามาเก็งกำไรตั้งแต่ต้นปี จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยน 4% แต่ทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังผันผวนสูงจะเป็นข้อดีสำหรับผู้ส่งออก ที่จะมีต้นทุนทำประกันความเสี่ยงลดลง

    "รอบนี้เงินบาทแข็งค่า เพราะเงินร้อนทะลักล้วนๆ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)อาจทำอะไรได้ไม่มาก เพียงดูแลอยู่ห่างๆ เพราะยังมีประเด็นที่จะเข้าข่ายแทรกแซงค่าเงินตามที่สหรัฐฯจะพิจารณาในเดือนตุลาคมอีกครั้ง ส่วนเศรษฐกิจภาพรวมนั้น ธปท.ดูแลได้ดีอยู่แล้ว โดยหวังว่า เงินลงทุนโดยตรง(FDI)จะกลับมาเป็นบวก หลังมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพและแนวโน้มเงินร้อนจะไหลเข้ามาอีกถ้าเราได้เครดิตเรตติ้งดีขึ้น"

    ด้านนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า แนวโน้มเงินทุนไหลเข้ายังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดหุ้นและพันธบัตร สาเหตุจากธนาคารกลาง(เฟด)พลิกกลับนโยบายการเงิน โดยจะปรับลดดอกเบี้ยลงในอนาคต ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นเงินบาทเป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่ง จึงเข้ามาพักเงินในตลาดพันธบัตร ประกอบกับเฟดอาจจะเลือกใช้มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน(Quantitative Easing: QE) โดยเฟดจะเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ จากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินเอกชนทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มการไหลเข้าของเงินทุน เพราะต้องยอมรับว่า เงินทุนไหลเข้ามาเพื่อหาผลตอบแทนที่สูง ซึ่งขณะนี้ทั้งอัตราดอกเบี้ยระยะยาวหรือบอนด์ยีลด์สหรัฐฯต่ำกว่าไทยแล้ว

    "ผมเห็นด้วย ถ้าธปท.จะลงโทษ คนเก็งกำไร หรือคนกระทำความผิดจริง ให้เป็นเยี่ยงอย่างเฉพาะราย แต่ไม่ใช่เหวี่ยงแห ขณะเดียวกันต้องปรับตัวต่อความผันผวนเชิงนโยบาย ซึ่งถ้าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยนโยบาย ก็ช่วยแก้ได้ แต่หากไม่มีเครื่องมือดูแลแนวโน้มเงินบาทจะแข็งค่าต่อ"

    นายอมรเทพ จาวะลา หัวหน้าส่วนวิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สายบริหารความเสี่ยง สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แนวโน้มพฤติกรรมเก็งกำไรจะรุนแรงขึ้นในช่วงที่เหลือ เมื่อเฟดส่งสัญญาณจะปรับลดดอกเบี้ยและหากกนง. ยังคงยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ต่อปี ซึ่งทั้งดอกเบี้ยเฟดที่จะปรับลดและกนง.ไม่ทำอะไรจะเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทให้แข็งค่าต่อไป โดยหวังว่าเงินทุนไหลเข้ามาในอนาคตจะเป็นเงินลงทุนโดยตรง (FDI) จะเข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น

    อย่างไรก็ตาม เมื่อเฟดใกล้จะลดดอกเบี้ยลงและทำคิวอี ธปท.ควรจะเพิ่มเงินไหลออกโดย เปิดให้นักลงทุนรายย่อยออกไปลงทุนต่างประเทศได้มากขึ้น เช่น ออกไปซื้อสินทรัพย์หรือหุ้นต่างประเทศ ซึ่งน่าจะลดแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง ส่วนมาตรการลดปริมาณการออกพันธบัตรระยะสั้นช่วงที่ผ่านมาก็ไม่เหมาะกับจังหวะปัจจุบัน

    "ถ้าสหรัฐฯลดดอกเบี้ยและทำคิวอีกเงินร้อนจะเข้ามาช่วงที่เหลือ แต่เดือนปลายเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนเพิ่งจะมีเงินไหลเข้ามา ซึ่งต่างชาติหวังผลกำไรทั้งในส่วนต่างของราคาบอนด์ อัตราดอกเบี้ยและปีนี้ยังเก็งกำไรจากค่าเงินที่แข็งค่า ซึ่งเฉพาะค่าเงินก็ทำกำไรได้ค่อนข้างมาก ดังนั้นไทยต้องแก้ปัจจัยพื้นฐานด้วย"
    FB_IMG_1561293470994.jpg FB_IMG_1561293473574.jpg FB_IMG_1561293476916.jpg
    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1561293812543.jpg

    (Jun 23) คอลัมน์ EEC Analysis: ศก.โลกหนุนดัชนีอุตฯภาคตะวันออก : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 111 เพิ่มขึ้น จากเดือนเม.ย.ซึ่งอยู่ที่ 110.2 เป็นผลจากปัจจัยสำคัญคือคำสั่งซื้อสินค้า ยอดขาย ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการ

    โดยสินค้าสำคัญที่ทำให้ภาพรวมดัชนี ดีขึ้นได้แก่อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ และทำความเย็น จากการส่งออกไปเวียดนาม สหรัฐและออสเตรเลียได้มากขึ้น ขณะที่ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม และสหรัฐอุตสาหกรรมเหล็กตามความต้องการใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ

    อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับมีคำสั่งซื้อลดลงจาก ตลาดต่างประเทศ อาทิ สหรัฐ สิงคโปร์และฮ่องกง เครื่องประดับเงิน-ทองมียอดการส่งออก ไปเยอรมนีและสหรัฐ ลดลง

    หากเทียบดัชนีความเชื่อมั่นกับภาคอื่นๆ พบว่าดัชนีภาคตะวันออกสูงกว่าภาคอื่น แต่แนวโน้มการเพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน ได้แก่ ภาคกลาง อยู่ที่ 99 ภาคเหนือ 81.6 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 94.3 อย่างไรก็ตาม ในส่วนภาคใต้ความเชื่อมั่นปรับลดลง จาก 80.8 มาอยู่ที่ 78.3
    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1561293971919.jpg

    (Jun 23) ข้อมูล "สัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัดจำแนกตามภาคการผลิต" ข้อมูล PIER Statistic วันนี้ขอนำเสนอรูปแสดงสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัดจำแนกตามภาคการผลิต แทนด้วยแถบสีต่าง ๆ
    ในภาพรวมภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของประเทศ และจังหวัดที่มีความเข้มข้นของภาคบริการสูงสุดคือ ภูเก็ต ในขณะที่ภาคเกษตรใช้พื้นที่เป็นจำนวนมากแต่กลับสร้างมูลค่าได้ไม่สูงมากนัก โดยจังหวัดที่มีภาคเกษตรเข้มข้นคือ จันทบุรี ตราด ส่วนกลุ่มจังหวัดที่มีสัดส่วนภาคอุตสหกรรมสูงได้แก่ ระยอง พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี เป็นต้น
    ที่มา: NESDB https://www.nesdb.go.th/main.php?filename=gross_regional
    สามารถติดตามข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/pier_stats/
    Source: PIER FB
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    PSX_20190623_195108.jpg

    (Jun 23) In Clips :วอชิงตันโพสต์รายงาน ทรัมป์สั่งโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมมิสไซล์อิหร่านวันเดียวกับที่ถอนปฎิบัติการใช้ทหารจู่โจม: สหรัฐฯได้เข้าโจมตีระบบคอมพวเตอร์ควบคุมมิสไซล์อิหร่านในคืนวันพฤหัสบดี(20 มิ.ย) เกิดขึ้นในวันเดียวกันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกคำสั่งใช้กำลังทหารโจมตีอิหร่านแต่ถอนออกไป 10 นาทีก่อนเริ่ม พบเป็นฝีมือของหน่วยกองบัญชาการไซเบอร์กองทัพสหรัฐฯ(U.S. Cyber Command) เมื่อวานนี้(22 มิ.ย) กระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯแจ้งเตือนทั่วอุตสากรรมสหรัฐฯ ให้รับมือการโจมตีทางไซเบอร์จากอิหร่าน

    หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้อนุมัติปฎิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ต่อคอมพิวเตอร์ควบคุมการปล่อยจรวดและมิสไซล์ของเตหะราน การโจมตีเกิดขึ้นในคืนวันพฤหัสบดี(20) จากการประสานงานระหว่างหน่วยกองบัญชาการไซเบอร์กองทัพสหรัฐฯ(U.S. Cyber Command) และกองบัญชากลางของกองทัพสหรัฐฯมุ่งโจมตีหน่วยพิทักษ์การปฎิวัติสาธารณรัฐอิสลาม โดยต้องการให้ขอบเขตปฎิบัติการคลอบคลุมทั่วทั้งตะวันออกกลาง อ้างอิงจากแหล่งข่าว

    ซึ่งเป็นการทำงานที่เกิดขึ้นนานนับสัปดาห์หากไม่ใช่เป็นระยะเวลาหลายเดือน แหล่งข่าวใกล้ชิด 2 คนกล่าวว่า เพนตากอนเสนอให้ทำการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์หลังอิหร่านลอบโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมานเมื่อต้นเดือน

    การโจมตีมีเป้าประสงค์เพื่อทำลายระบบควบคุมและสั่งการทางการทหารของอิหร่าน เป็นปฎิบัติการที่ไม่มีการเสียชีวิตเกิดขึ้น สื่อสหรัฐฯชี้

    อย่างไรก็ตามในวันเสาร์(22) กระทรวงมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯออกมาประกาศเตือนภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯให้เตรียมรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ของอิหร่าน ที่คาดว่าอาจมีเป้าหมายไปที่อุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งนี้พบว่าปฎิบัติการโจมตีระบบควบคุมการปล่อยมิสไซล์ถูกรายงานครั้งแรกโดยยาฮูนิวส์

    โดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ NSA (The National Security Agency) ออกมาเรียกร้องให้ภาคอุตสาหกรรมในประเทศตื่นตัวและเฝ้าระวัง "ในช่วงเวลาที่ตรึงเครียดเช่นนี้ ถือเป็นการเหมาะสมที่ทุกคนต้องตื่นตัวต่อสัญญาณการคุกคามของอิหร่านทางระบบไซเบอร์และต้องทำให้มั่นใจว่าเครื่องมือป้องกันนั้นสามารถทำงานได้" รายงานจากแถลงการณ์ของโฆษกสำนักงาน NSA

    แหล่งข่าวใกล้ชิดกล่าวว่า การโจมตีทางดิจิทัลเป็นตัวอย่างที่ทางที่ปรึกษาความมั่นคงประจำทำเนียบขาว จอห์น อาร์. โบลตัน ได้เคยแนะนำไว้เมื่อไม่นานมานี้ ในเรื่องที่ต้องการให้สหรัฐฯเพิ่มมาตรการปฎิบัติการโจมตีทางไซเบอร์

    "เรากำลังเปิดทาง ขยายขอบเขตพื้นที่ซึ่งเราเตรียมการที่จะเข้าไป" โบลตันกล่าวในงานสัมนาวอลสตรีทเจอร์นัล

    ทั้งนี้พบว่ากองบัญชาการไซเบอร์กองทัพสหรัฐฯได้ถูกยกระดับให้อยู่ในระดับชั้น กองบัญชาการสู้รบ (combatant command) ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจากการอนุมัติของทรัมป์ ซึ่งในระดับ combatant command นี้มี กองบัญชาการกลาง (Central Command) ซึ่งเป็นที่รู้จักรวมอยู่ในระดับชั้นนี้เช่นกัน โดยพลเอก พอล นาคาซอน(Gen. Paul Nakasone) ผู้บัญชาการประจำหน่วยได้กล่าวถึงปฎิบัติการว่า "ต่อต้านข้าศึกในดินแดนเสมือนจริงของพวกเขา"

    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    https://www.aljazeera.com/news/2019...tacks-iran-drone-downing-190623054423929.html
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Jun 23) บทความเรื่อง “พลวัตการทำเกษตรไทย และนัยต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของครัวเรือนเกษตร” : บทความนี้พยายามเข้าใจการทำเกษตรของไทยว่าเรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร โดยใช้ข้อมูลการเพาะปลูกรายแปลงของเกษตรกรทั่วประเทศกว่าหนึ่งทศวรรษมาสะท้อนถึงจำนวน ความหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมเกษตร ทั้งในภาพรวมของประเทศซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงการกระจุกตัวหรือกระจายตัวในเชิงพื้นที่และเวลา และภาพย่อยในระดับครัวเรือนซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงความหลากหลายของการเลือกทำเกษตรและการบริหารจัดการความเสี่ยงของเกษตรกร
    บทความนี้ยังฉายภาพให้เห็นถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงตลอดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจทำเกษตรในแบบต่าง ๆ ของครัวเรือนเกษตรไทย เพื่อนำไปสู่นัยเชิงนโยบาย

    FB_IMG_1561294427984.jpg FB_IMG_1561294430885.jpg FB_IMG_1561294433620.jpg

    สามารถอ่านบทความ aBRIDGEd ฉบับนี้เพิ่มเติมได้ที่ https://www.pier.or.th/?post_type=abridged&p=6710 หรือ https://www.pier.or.th/?abridged=พล...VX6DupfVJjlM-MABR1_XCpn8nQFseEc2nJc9x2Df50XyE
    โดย
    1. จิรัฐ เจนพึ่งพร
    ธนาคารแห่งประเทศไทย
    JirathC@bot.or.th
    2. โสมรัศมิ์ จันทรัตน์
    สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
    SommaraC@bot.or.th
    3. วิษณุ อรรถวานิช
    มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
    witsanu.a@ku.ac.th
    4. บุญธิดา เสงี่ยมเนตร
    สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
    boontids@bot.or.th
    Source: PIER FB
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    FB_IMG_1561294642544.jpg

    (Jun 23) ต่างชาติอู้ฟู่ฟันกำไร 2 เด้ง 1 เดือนกินรวบ 'บอนด์-หุ้น-ค่าบาท' : การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) ที่ไหลทะลักเข้าประเทศไทย ที่ถูกยกให้เป็น safe heaven ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะเมื่อเฟดส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบาย ช่วงกลางเดือน พ.ค. 62 ยิ่งผลักดันฟันด์โฟลว์เข้าเก็งกำไรทั้งในตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น

    โดยดัชนี SET ในช่วง 15 พ.ค.- 20 มิ.ย. 62 (กว่า 1 เดือน) ปรับตัวขึ้นราว 5.14% จากปิดตลาดวันที่ 14 พ.ค. อยู่ที่ 1,633.84 จุด ขึ้นมาปิดวันที่ 20 มิ.ย. ที่ระดับ 1,717.82 จุด โดยวันที่ 19 มิ.ย. วอลุ่มทะลุ 1 แสนล้านบาท ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันต่างชาติซื้อสุทธิ 26,413 ล้านบาท ฝั่งค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ล่าสุด (20 มิ.ย.) หลุดลงมาที่ 30.92 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจาก 15 พ.ค. 62 ที่อยู่ 31.53 บาท/ดอลลาร์ ทำให้ช่วงกว่า 1 เดือนค่าเงินบาทแข็งขึ้นราว 0.61 บาท หรือ 1.9% ซึ่ง "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สำรวจมุมมองต่อแนวโน้มการเคลื่อนไหวทั้งบอนด์และหุ้น ดังนี้

    นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ช่วงนี้เงินทุนต่างชาติทะลักเข้าไทยค่อนข้างมาก โดยเฉพาะไหลเข้าเก็งกำไรผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ (บอนด์) และเก็งกำไรค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้น เพราะเห็นว่าไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง จึงสามารถทำกำไรได้ 2 เด้ง

    "ตอนนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อในประเทศไม่ดี ดังนั้น เศรษฐกิจจะขยายตัว ก็จะต้องมาจากการส่งออก แต่ตอนนี้การนำเข้ามีทีท่าว่าจะแย่กว่าอีก ดังนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายังเกินดุลอยู่มาก ต่างชาติก็มองว่าไทยเก็งกำไรได้เพราะบอนด์ยีลด์ (ผลตอบแทนจากตราสารหนี้) อายุ 10 ปียังสูงอยู่ โดยเฉพาะเรียลยีลด์ (ดอกเบี้ยแท้จริงจากการลงทุน ซึ่งหักเงินเฟ้อแล้ว) ที่สูงจะเป็นตัวกดเศรษฐกิจไม่ดี (กระทบต้นทุนธุรกิจสูง) เพราะฉะนั้น เขาถึงได้เก็งกำไรจากการถือบอนด์และค่าเงินบาทที่แข็ง มองเงินบาทเป็น one way bet (แข็งค่า ทางเดียว)" นายศุภวุฒิกล่าวแหล่งข่าวจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า บอนด์ยีลด์ อายุ 10 ปีมีการปรับตัวลดลงรวดเร็วตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีสหรัฐ "ทรัมป์" ประกาศชัดเจนเก็บภาษีจีน ยิ่งกดดันให้สงครามการค้ารุนแรงขึ้น โดยวันที่ 15 พ.ค. 62 บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.5% ไหลลง รวดเร็วมาอยู่ที่ 2.17% (19 มิ.ย.) หรือไหลลงราว 0.33% คิดเป็น 13% ในเวลา 1 เดือน

    "บอนด์ยีลด์ไทยร่วงลงมาเยอะ โดยเฉพาะ 10 ปี ซึ่งมีแนวโน้มลงได้อีกจากภาวะเศรษฐกิจของไทย ถ้าดูส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี กับ 2 ปีตอนนี้อยู่ที่ 40 bps (0.40%) ซึ่งต่ำมากแล้ว ขณะที่ต้นปียังมีส่วนต่างสูง 60 bps (0.60%) ขณะที่ช่วงกลางเดือน พ.ค. ฟันด์โฟลว์ไหลหนัก ๆ และปลายเดือน พ.ค. สหรัฐฯก็ออกมาบอกหยุดดอกเบี้ยขาขึ้นและน่าจะเป็นขาลง ยิ่งทำให้ ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่องในเดือน มิ.ย. และเริ่มมีขายบางส่วน ทำกำไรในบางวัน แต่รวม ๆ ยังเข้าซื้อสุทธิอยู่"

    ทั้งนี้ ฟันด์โพลว์ที่ไหลเข้าบอนด์ในช่วงเดือน พ.ค. 62 ทำให้พลิกเป็นยอดซื้อสุทธิ 13,464 ล้านบาท และไหลเข้าต่อในเดือน มิ.ย. (ณ 19 มิ.ย.) ทำให้มียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 44,045 ล้านบาท รวมระยะ 1 เดือนกว่า ฟันด์โฟลว์ทะลักเข้าบอนด์ไทย 57,509 ล้านบาท

    นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า เฟดส่งสัญญาณอาจปรับลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ กดดันให้บอนด์ยีลด์ของรัฐบาลสหรัฐปรับลงมาอยู่ระดับ 2% แต่หนุนสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นให้ผลตอบแทนน่าสนใจมากขึ้น แม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้คาดจะทรงตัวหรือดีขึ้น เล็กน้อยในช่วงที่เหลือของปี แต่ต่างชาติ ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 3-4% สูงกว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐ

    นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ให้น้ำหนักประเด็นเฟดมีแนวโน้ม "ลดดอกเบี้ย" มากที่สุด ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นค่อนข้างสูงในระยะสั้น หากเทรนด์ดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลง คาดว่าในระยะสั้น SET index จะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,750 จุด ขณะที่ประเมินฟันด์โฟลว์มีโอกาสซื้อสุทธิไปจนถึงไตรมาส 3/62 แต่ยังต้องระวังปัจจัยสงครามการค้ายังมีความ ไม่แน่นอนสูง

    "ปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยเมื่อ ต้นเดือน พ.ค. 62 จากข้อมูลของบลูมเบิร์ก พบว่า market EPS (กำไรต่อหุ้นทั้งตลาด) ของปีนี้ลงเล็กน้อยจาก 107 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 106 บาท/หุ้น โดยแนวโน้มกำไร บจ.ครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัว ดีขึ้นได้หลังจากที่ครึ่งปีแรกที่ บจ.มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษที่ตั้งสำรองพนักงานเกษียณ" นายภาสกรกล่าว

    นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นเร็วและแข็งกว่าสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยปัจจัยภายนอกมีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้ ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดย ธปท.จะเพิ่มความเข้มงวดในการติดตามธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ไทยเป็นแหล่งพักเงินระยะสั้น เพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ ธปท.ไม่พึงประสงค์
    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เสียงกลองรบระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน “หากคุณชอบ (สงคราม) อิรักกับอัฟกานิสถาน คุณจะรักอิหร่าน”
    23 มิถุนายน 2019
    รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

    1649px-Global_Hawk_1-620x406.jpg
    โดรน Global Hawk ที่ถูกยิงตก ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Northrop_Grumman_RQ-4_Global_Hawk#/media/File:Global_Hawk_1.jpg
    ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่าน กำลังปานปลายไปสู่ความขัดแย้งทางการทหาร เหตุการณ์ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ อนุมัติให้โจมตีทางทหารต่ออิหร่าน เพื่อตอบโต้กรณีที่เครื่องบินไร้คนขับหรือโดรนของสหรัฐฯ ถูกอิหร่านยิงตก เมื่อเช้าวันพฤหัสที่ 20 มิถุนายน แต่แล้วทรัมป์ก็มีคำสั่งให้ระงับการโจมตีดังกล่าว ทั้งๆ ที่เครื่องบินรบสหรัฐฯ ได้บินขึ้นเพื่อปฏิบัติการโจมตีแล้ว

    เครื่องโดรนที่ถูกยิงตก เป็นการเผชิญหน้าล่าสุดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน อิหร่านกล่าวว่า เครื่องโดรนบินเหนือน่านฟ้าอิหร่าน ส่วนสหรัฐฯ กล่าวว่า บินอยู่บนน่านฟ้าสากล วิกฤติระหว่าง 2 ประเทศ เริ่มต้นจากที่สหรัฐฯ ถอนตัวฝ่ายเดียวจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านปี 2015 เพื่อใช้นโยบาย“มาตรการกดดันสูงสุด” ต่ออิหร่าน และการตอบโต้ของอิหร่าน จากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่รุนแรงมากขึ้น

    ความเป็นมาของความขัดแย้ง
    การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่านเริ่มต้นเมื่อหนึ่งปีมาแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 2018 สหรัฐฯ ถอนตัวฝ่ายเดียวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 กับอิหร่าน แต่ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ รัสเซีย และจีน ประกาศว่า จะยังคงรักษาข้อตกลงนี้ แต่ทรัมป์ก็บอกกับชาติในยุโรปว่า บริษัทยุโรปจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ หากยังทำธุรกิจกับอิหร่าน

    ในเดือนเมษายน 2019 รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า กองกำลังปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard) ของอิหร่าน เป็นองค์กรก่อการร้าย นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ระบุว่าองค์กรของรัฐบาลต่างประเทศเป็นภัยคุกคามมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างแรงกดดันสูงสุดต่ออิหร่าน ที่มีเป้าหมายให้ให้อิหร่านเลิกล้มนโยบายขยายอิทธิพลในตะวันออกกลาง

    วันที่ 5 พฤษภาคม 2019 นายจอห์น โบลตัน (John Bolton) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว ประกาศว่า สหรัฐฯ จะส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเครื่องบินทิ้งระเบิดไปตะวันออกกลาง ทั้งนี้เพื่อส่งสัญญาณให้รัฐบาลอิหร่านเห็นว่า การโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และพันธมิตรจะต้องเผชิญกับการตอบโต้

    วันที่ 8 พฤษภาคม 2019 ทรัมป์ออกมาตรการใหม่โดยคว่ำบาตรการส่งออกโลหะอุตสาหกรรมของอิหร่าน โดยทรัมป์ประกาศว่า จะไม่อดทนกับการที่ประเทศอื่นๆ อนุญาตให้มีการขนส่งเหล็กกล้าและโลหะอุตสาหกรรมอื่นๆ มายังท่าเรือของประเทศนั้น ยิ่งกว่านั้น ทรัมป์โจมตีการส่งออกน้ำมันของอิหร่านโดยตรง โดยห้ามไม่ให้ประเทศอื่นๆ ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ไม่เช่นนั้นจะถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร หลังจากที่สหรัฐฯ เคยให้การยกเว้น โดยไม่ถูกสหรัฐฯ ลงโทษ

    B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7-Iranian-News-Agency-620x414.jpg
    ที่มาภาพ : สำนักข่าว Iranian News Agency
    วันที่ 13 มิถุนายน 2109 เกิดระเบิดขึ้นที่เรือบรรทุกน้ำมันของญี่ปุ่นและนอร์เวย์ ที่แล่นในอ่าวโอมาน กองบัญชาการทหารสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง เผยแพร่วิดีโอที่เรือของกองกำลังอิหร่านเข้าไปจอดเทียบเรือบรรทุกน้ำมันเพื่อเคลื่อนย้ายระเบิดที่ไม่ทำงานออกไป สหรัฐฯ กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังการระเบิด ขณะที่นายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เสนอให้มีการสอบสวนอย่างอิสระต่อเหตุการณ์นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในภูมิภาคนี้ เหตุการณ์นี้ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 3%

    กรณีเครื่องโดรน Global Hawk
    ในวันที่ 20 มิถุนายน 2019 เครื่องโดรน Global Hawk ของสหรัฐฯ ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธจากพื้นดินสู่อากาศของอิหร่าน ขณะที่กำลังบินในระดับสูง เพื่อตรวจการเหนือช่องแคบฮอร์มุซ อิหร่านกล่าวหาว่า เครื่องโดรนบินอยู่เหนือน่านน้ำอิหร่าน แต่ฝ่ายทหารของสหรัฐฯ กล่าวว่า บินเหนือน่านน้ำสากล กรณีล่าสุดนี้ ทำให้ทรัมป์สั่งให้มีการตอบโต้ทางทหาร แต่ในที่สุดก็ให้ระงับการโจมตี

    ในบทความชื่อ Not All Drones Are Created Equal ในเว็บไซต์ theatlantic.com กล่าวว่า เครื่องโดรนมีอยู่หลายประเภท บางประเภทใช้บินหาข่าว บางประเภทสามารถโจมตีทางทหาร และบางประเภทสามารถทำหน้าที่ได้ทั้ง 2 อย่าง แต่เครื่องโดรน Global Hawk เป็นเครื่องบินไร้คนขับ ที่บินหาข่าวและเก็บข้อมูล เหมือนกับเครื่องบินจารกรรม U-2 ของสหรัฐฯ ในอดีต ที่เคยถูกสหภาพโซเวียตยิงตกมาแล้วในปี 1960

    โดรน Global Hawk ไม่สามารถโจมตีทางทหารต่อเป้าหมาย การป้องกันตัวเองอาศัยระดับการบินที่สูงกว่า 65,000 ฟุตหรือ 20 กิโลเมตรขึ้นไป หรือบินได้สูง 2 เท่าของเครื่องบินพาณิชย์ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงระบบป้องกันทางอากาศของฝ่ายตรงกันข้าม เครื่องสามารถบินได้นาน 30 ชั่วโมง เพื่อถ่ายภาพและจับสัญญาณการสื่อสารต่างๆ เครื่องโดรนรุ่นนี้มีราคา 130 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงพอๆ กับราคาเครื่องบินโดยสารแบบโบอิ้ง 737

    บทความของ theatlantic.com กล่าวอีกว่า สหรัฐฯ มีเครื่องโดรนแบบ Predators และ Reapers ที่ใช้โจมตีเป้าหมายผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและเยเมน เครื่องโดรนนี้จะบินเหนือเป้าหมายอยู่นานเป็นวันหรือสัปดาห์เพื่อดูสถานการณ์ แล้วยิงขีปนาวุธสู่เป้าหมาย แต่เนื่องจากเป็นโดรนที่บินระดับต่ำและช้า โดรนแบบนี้จึงทำงานได้ไม่มากในประเทศที่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดี และก็เสี่ยงที่จะทำให้ความขัดแย้งขยายตัว เพราะฝ่ายตรงกันข้ามไม่รู้ว่าโดรน Predators และ Reapers บินเข้ามาหาข้อมูล หรือว่าจะบินมาโจมตี เมื่อมีความไม่แน่นอน ก็ย่อมเสี่ยงที่จะเกิดการคาดการณ์ที่ผิดพลาดขึ้นมา

    ผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมัน
    การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านเสี่ยงที่จะกระทบต่อระบบอุปทานของน้ำมันโลก เพราะเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เป็นเส้นทางลำเลียงที่สำคัญสุดของน้ำมันโลก ประเทศในอ่าวเปอร์เซียเป็นผู้ผลิต 1 ใน 5 ของน้ำมันโลก ล้วนต้องอาศัยเส้นทางลำเลียงผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งจุดที่แคบสุดมีความกว้าง 33.7 กิโลเมตร ที่เรือบรรทุกน้ำมันจะต้องแล่นผ่าน ก่อนจะไปสู่ตลาดน้ำมันในโลก

    เดือนเมษายนที่ผ่านมา อิหร่านขู่ที่จะปิดเส้นทางขนส่งน้ำมันทางช่องแคบฮอร์มุซ เมื่อทรัมป์ยกเลิกการผ่อนปรนให้ประเทศที่ยังสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน เพราะมาตรการนี้ของสหรัฐฯ กระทบอย่างมากต่อรายได้ของอิหร่าน พลตรีโมฮัมหมัด บาเคอรี (Mohammad Baqery) ผู้บัญชาการ กองทัพอิหร่านก็ประกาศว่า “หากสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านตัดสินใจที่จะขวางการส่งออกน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ก็มีความเข็มแข็งทางทางทหารพอ ที่จะทำสิ่งนี้ได้อย่างเต็มที่และอย่างเปิดเผย” ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ถือว่าเสรีภาพในการเดินเรือทางทะเล เป็นผลประโยชน์สำคัญสุดของสหรัฐฯ

    %B8%87%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%AE%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%8B.png
    ช่องแคบฮอร์มุซ ยังเป็นจุดที่มีปริมาณขนส่งน้ำมันมากสุดของโลก ที่มาภาพ : maritime- executive.com
    ช่องแคบฮอร์มุซมีลักษณะเป็นรูปตัว V ที่เชื่อมอ่าวเปอร์เซียกับมหาสมุทรอินเดีย ทางเหนือคืออิหร่าน ส่วนทางใต้คือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และโอมาน ช่องแคบฮอร์มุซมีความสำคัญอย่างมากต่อการค้าน้ำมันโลก ปีที่แล้ว ในแต่ละวัน มีเรือบรรทุกที่ขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติปริมาณ 20.7 ล้านตันต่อวัน แล่นผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน อิรัก ยูเออี คูเวต และกาตาร์ ล้วนส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ ผ่านช่องแคบ

    หากชอบสงคราม จะรักอิหร่าน
    เบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie Sanders) อดีตผู้สมัครประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครต เขียนลง theguardian.com ในบทความชื่อ We must stop the US from going to war with Iran ว่า สงครามกับอิหร่านจะกลายเป็นหายนะภัย เหมือนกับที่อดีตผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง นายพลแอนโทนี ซินไน (Athony Zinni) เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณชอบ (สงคราม) อิรักกับอัฟกานิสถาน คุณจะรักอิหร่าน”

    หากสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน อิหร่านสามารถจะตอบโต้โดยการโจมตีทหารสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เหตุการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การไร้เสถียรภาพในภูมิภาคนี้แบบที่ไม่อาจจะคาดคิดออกมาได้ ผลที่ตามมาก็คือ ภาวะการทำสงครามที่ยืดเยื้อหลายปี

    เบอร์นี แซนเดอร์ส เขียนไว้ว่า เมื่อ 16 ปีที่แล้ว สหรัฐฯ ทำความผิดพลาดด้านนโยบายต่างประเทศครั้งที่เลวร้ายสุดโดยการโจมตีอิรัก สงครามครั้งนั้นมีการนำมาเสนอขายให้กับคนอเมริกันด้วยเรื่องราวความเท็จเกี่ยวกับอาวุธทำลายล้าง สงครามนี้ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกว่า 4,400 นาย พลเรือนอิรักตายหลายแสนคน สงครามอิรักยังก่อให้เกิดคลื่นความคิดหัวรุนแรง และความปั่นป่วนทั่วตะวันออกกลาง

    เบอร์นี แซนเดอร์ส กล่าวสรุปว่า อิหร่านดำเนินนโยบายไม่ดีหลายอย่าง เช่น ปราบปรามประชาชนของตัวเองอย่างรุนแรง และสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงทั่วภูมิภาค แต่สิ่งนี้ก็สามารถพูดได้ว่า พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างซาอุดีอาระเบียก็มีนโยบายแบบเดียวกัน สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีท่าทีที่เที่ยงธรรมมากขึ้นต่อตะวันออกกลาง ไม่ใช่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งที่ต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง ในเรื่องปัญหาความขัดแย้งของภูมิภาคตะวันออกกลาง สหรัฐฯ มีความเข้มแข็งพอที่จะอาศัยวิธีการทางการทูตมาแก้ปัญหา โดยการร่วมมือกับประเทศพันธมิตรต่างๆ ทั่วโลก

    เอกสารประกอบ
    The U.S. Has Turned Up Pressure on Iran. See the Timeline of Events, Helene Cooper, The New York Times, June 14, 2019.
    Not All Drones Are Created Equal, Amy Zegart, theatlantic.com, 22 June 2019.
    We must stop the US from going to war with Iran, Bernie Sanders, 21 June 2019.

    https://thaipublica.org/2019/06/pridi148/
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อินเดียขาดแคลนน้ำรุนแรง “เจินไน” เมืองใหญ่อันดับ 6 วิกฤติสุด – ร้านอาหาร โรงแรมปิดชั่วคราว บริษัทให้พนง.ทำงานที่บ้าน 20 มิถุนายน 2019
    india-water-crisis-620x348.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.indiatoday.in/india/sto...du-media-illusion-scarcity-1551677-2019-06-19
    เจินไนหรือเดิมคือมัทราส ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 6 ของอินเดียในรัฐทมิฬนาฑู กำลังประสบวิกฤติขาดแคลนน้ำอย่างหนักติดต่อกันมาหลายสัปดาห์หลังแหล่งกักเก็บน้ำ 4 แห่งแห้งผาก

    ชาวบ้านต้องเข้าคิวนานนับชั่วโมงเพื่อรองน้ำจากแท็งก์น้ำของรัฐบาล ขณะที่โรงแรมและร้านอาหารหลายแห่งต้องปิดชั่วคราวหรือต้องลดชั่วโมงให้บริการลงเพราะขาดน้ำ ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งต้องแบ่งสรรปันส่วนน้ำ สถานีรถไฟใต้ดินต้องปิดเครื่องปรับอากาศ และหลายบริษัทขอให้พนักงานทำงานอยู่กับบ้านเพื่อประหยัดน้ำ

    ในเจินไนและพื้นที่รอบนอกมีโรงแรมขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กราว 8,000 แห่ง ซึ่งต้องการใช้น้ำประมาณ 150 ล้านลิตรต่อวัน

    สถานการณ์ที่เลวร้ายทำให้เกิดการปะทะกันในกลุ่มชาวบ้าน ในสัปดาห์ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชายคนหนึ่งที่แทงเพื่อนบ้านจากเหตุทะเลาะในการแบ่งน้ำใช้ระหว่างหมู่บ้าน

    เจ้าหน้าที่รัฐรายหนึ่งกล่าวว่า สถานการณ์จะดีขึ้นหากมีฝนตกลงมา และหน่วยงานด้านน้ำก็ได้พยายามหาแหล่งน้ำใหม่ แต่ประเด็นหลักคืออ่างเก็บน้ำแห้งมาก และระดับน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาลที่น้อยมาก ซึ่งปีก่อนๆ แม้จะมีปัญหาการขาดน้ำแต่ได้อาศัยน้ำใต้ดินมาช่วย

    การขาดแคลนน้ำไม่ได้จำกัดอยู่ที่เจินไน แต่กระจายไปทั่วหลายพื้นที่ในอินเดียทั้งในเมืองและชนบท แต่นายคเชนทรา สิงห์ เศขาวัต รัฐมนตรีกระทรวงน้ำของอินเดีย กล่าวในการแถลงข่าววันที่ 17 มิถุนายน ว่า รายงานการขาดแคลนน้ำเป็นการรายงานเกินความจริง เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีน้ำพอในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ และการขาดแคลนน้ำไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่สื่อรายงาน

    นายเค ปาลานิสวามี มุขมนตรีรัฐทมิฬนาฑู กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เหมือนกับที่สื่อรายงาน และเรียกร้องผู้สื่อข่าวไม่ให้บิดเบือนการขาดน้ำ และยังกล่าวว่า “ประชาชนต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือ สื่อเองก็อย่าสร้างภาพการขาดน้ำเกินจริง”

    นายปาลานิสวามีกล่าวว่า ภาวะแห้งแล้งและฤดูมรสุมที่ล่าช้ามีผลให้ระดับน้ำใต้ดินลดลง และรัฐต้องพึ่งพาน้ำบาดาลไปจนกว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะนำฝนมาในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน นอกจากนี้ แม่น้ำกฤษณาที่รับน้ำจากเขื่อนในรัฐอานธรประเทศก็มีน้อย อย่างไรก็ตาม ได้มีการดำเนินการเพื่อจัดหาน้ำ โดยเฉพาะน้ำดื่มที่ต้องให้เพียงพอ ซึ่งจะประมูลน้ำจากทะเลสาปวีรนัมในเขตกุดาลูร์

    ศาลสูงในเจินไนดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อรัฐบาลทมิฬนาฑู กรณีไม่มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการขาดแคลนน้ำภายในรัฐ โดยก่อนหน้านี้ได้ขอให้รัฐบาลชี้แจงถึงมาตรการที่ดำเนินการในการแก้ไขวิกฤติน้ำ ศาลเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีการดำเนินการที่มากพอต่อการขาดแคลนน้ำรุนแรงในขณะที่ฤดูมรสุมล่าช้า

    ศาลสูงได้ไต่สวนการกรณีที่มีการร้องขอให้ตรวจสอบการใช้ประโยชน์จากน้ำบาดาลเพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งสั่งการให้กรมโยธาธิการที่ระบุในคำร้อง นำส่งรายงานข้อมูลจำนวนอ่างเก็บน้ำทั้งหมดในรัฐ มาตรการในการกรองน้ำ และรายละเอียดอื่นอย่างครบถ้วน

    การวิเคราะห์ระดับน้ำในเขื่อน 91 แห่งทั่วประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พบว่า 85 เขื่อนมีระดับน้ำต่ำกว่า 40% และมี 65 เขื่อนที่ระดับน้ำต่ำกว่า 20% มีเพียง 2 เขื่อนใน 17 เขื่อนในรัฐมหาราษฏระที่ระดับน้ำมากกว่า 25% ส่วนอีก 7 เขื่อนที่เหลือระดับน้ำเท่ากับศูนย์ ประกอบกับฤดูมรสุมที่เกิดขึ้นช้ากว่าปกติยิ่งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น ปกติแล้วลมมรสุมจะนำฝนมาให้ถึง 70%

    แม้ที่เจินไนมีโรงกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด แต่ก็มีปริมาณไม่มากพอที่จะชดเชยการขาดแคลนน้ำได้

    chennai-water-620x372.jpg
    ที่มาภาพ: https://daily-sun.com/post/400390/Chennai-water-crisis:-Citys-reservoirs-run-dry
    ในเดือนก่อนรัฐบาลได้ประกาศแจ้งเตือนภาวะภัยแล้งรัฐมหาราษฏระ รัฐคุชราต รัฐกรณาฏกะ รัฐอานธรประเทศ รัฐเตลังคานา และรัฐทมิฬนาฑู และขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด หลังจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงมาที่ระดับวิกฤติ รวมทั้งระดับน้ำในแหล่งกักเก็บในทุกรัฐในทางใต้และวันตกลดลงต่ำอย่างมากในรอบ 10 ปี แม้แต่รัฐคุชราต บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ก็ประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำ โดยเขตปกครอง 96 เขตจาก 250 เขตใน 17 ตำบลประกาศภาวะภัยแล้ง

    แม่น้ำนรรมทา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในทางตะวันตกของประเทศ และเป็นสายน้ำแห่งชีวิตของรัฐคุชราตและรัฐมัธยประเทศ กลับแห้งลงจนผู้เดินทางไปแสวงบุญที่วโฑทราสามารถนำรถลงไปจอดในร่องน้ำที่เคยมีน้ำไหลผ่านได้

    การที่ไม่ปล่อยน้ำจากเขื่อนสารทรสโรวารหรือปล่อยลงมาน้อยทำให้แม่น้ำซึ่งเคยมีกระแสน้ำไหลกว้างถึง 300 เมตรกลับแคบลงหลายเป็นสายน้ำที่มีความกว้างเพียง 6 เมตรเท่านั้น

    บังคาลอร์ เมืองไอทีในรัฐกรณาฏกะ ก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเช่นกัน การพัฒนาความเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การจัดการน้ำที่แย่ ทะเลสาบที่มีฟองน้ำเสียฟูฟ่องและมลพิษที่แพร่เร็ว ทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดลงเร็วมาก จนในปี 2018 รัฐบาลได้คาดไว้ว่าใน 21 เมืองซึ่งรวมนิวเดลี บังคาลอร์ และเจินไน ระดับน้ำใต้ดินในเมืองก็จะไม่เหลือ หรือไม่อยู่ในระดับที่ตื้นพอที่จะนำมาใช้ ภายในปี 2020

    แหล่งกักเก็บน้ำได้ลดลงและอ่างเก็บน้ำก็แห้งขอด แต่รัฐบาลก็ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับวิกฤติ

    นายหิมานชู ธักการ์ ผู้ประสายงานเครือข่ายเขื่อน แม่น้ำและประชาชนเอเชียใต้ (South Asia Network on Dams, Rivers & People) ให้ความเห็นว่า ปัญหาเกิดจากการขาดความเข้าใจ การตระหนักถึงสถานการณ์ และการไม่ลงมือดำเนินการ เพราะโดยปกติแล้วมรสุมจะนำน้ำฝนมาให้ 70-80% และรัฐบาลควรจะจัดการได้ดี ที่เจินไนเจอวิกฤติอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ปลายเดือนกรกฎาคมปีก่อน อ่างเก็บน้ำทุกแห่งเต็มไปด้วยน้ำ แต่รัฐบาลกลับปล่อยน้ำออก อีกทั้งแหล่งกักเก็บน้ำตื้นขึ้น ดังนั้นน้ำจึงไหลลงแม่น้ำเสียมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบกักเก็บน้ำฝน

    อินเดียเป็นประเทศเกษตรกรรม การปลูกธัญพืชต้องใช้น้ำปริมาณมาก อีกทั้งแผนการปลูกพืชที่ไม่ถูกต้องก็มีผลต่อวิกฤติน้ำด้วย

    ศรีปัท ธรรมาธิการี ผู้ก่อตั้ง Manthan Adhyayan Kendra องค์กรไม่แสวงกำไร กล่าวว่า ประเด็นหลักของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นคือสงวนน้ำไว้สำหรับดื่มและใช้ในครัวเรือน และแผนการปลูกพืชต้องปรับเปลี่ยน การใช้น้ำอย่างผิดๆ ในภาคการเกษตรจะสร้างผลกระทบมหาศาลและเป็นการใชน้ำในปริมาณมากเกินไป การปลูกพืชเกษตร เช่น อ้อยและข้าว ที่ต้องใช้น้ำมาก ต้องทบทวนกันใหม่

    การขาดแคลนน้ำไม่เพียงทำให้พืชผลเกษตรเสียหายและมีผลกระทบต่อครัวเรือน มีเกษตรฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ในเขตวิทรพา รัฐมหาราษฏระ มีเกษตรกรฆ่าตัวตายมากที่สุดถึง 5,214 ราย รองลงมาคือเมืองออรังกาบัด ที่มีจำนวน 4,699 ราย จากภาวะภัยแล้ง นอกจากนี้ ในรัฐปัญจาบ ภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง และไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้ ก็เป็นอีกสาเหตุของการจบชีวิตของเกษตรกร

    พื้นที่ชนบทหลายแห่งขาดแคลนน้ำดื่มและไม่มีน้ำใช้เพียงพอที่จะใช้ทำความสะอาด ซักเสื้อผ้า แม้แต่ในห้องน้ำ จึงมีน้ำเสียและน้ำที่ปนเปื้อนสูงขึ้น ประชาชนจำนวนมากเดือดร้อนจากภาวะร่างกายขาดน้ำ ผู้หญิงในชนบทต้องเดินเท้าไปหาน้ำจากหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งต้องเข้าแถวยาวรอ เกษตรกรอินเดียจึงดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่

    india-water-crisis1-620x347.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.indiatoday.in/india/story/chennai-water-crisis-hospitality-industry-1550788-2019-06-17
    ในทางตอนเหนือของประเทศซึ่งเป็นภูเขาส่วนใหญ่ก็ประสบกับปัญหาแหล่งน้ำลดลงเช่นกัน เป็นผลจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่โตเร็วมาก ทำให้เกิดวิกฤติน้ำ มลพิษการสัญจรของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการก่อสร้างโรงแรมใหม่

    ในปีที่ผ่านได้มีการรณรงค์แคมเปญ หยุดเที่ยวชิมลา หรือ #StopVisitingShimla เพราะชาวบ้านที่นั่นประสบวิกฤติน้ำในหิมาจัลประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ระบบนิเวศของเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าวิตก

    เพราะนักท่องเที่ยวเดินทางไปราว 100,000 คนต่อปี ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่เพียง 172,000 คน ยิ่งมีผลกระทบต่อพื้นที่ซึ่งหาน้ำได้ยากอยู่แล้ว

    ในชิมลา ปกติน้ำดื่มบรรจุขวดจำหน่ายในราคา 20 รูปี แต่ในหน้าร้อนที่แล้วราคาได้พุ่งขึ้นถึง 100 รูปีเพราะฝนตกน้อย ระบบน้ำไม่มีการสำรวจมานาน การขาดมาตรการอนุรักษ์น้ำและหน่วยงานรัฐบาลขัดแย่งกันเองกรณีน้ำบรรจุขวดทำให้ชิมลาเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เจอวิกฤติน้ำ

    ในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ศาลสูงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานติดตามกระแสนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองมัสซูรี ในรัฐอุตรขัณฑ์ ก็พบว่าเมืองได้รับการจัดสรรน้ำเพียง 7.60 ล้านลิตรต่อวันขณะที่ความต้องการน้ำในหน้าร้อนสูงสุดถึง 14.5 ล้านลิตรต่อวัน เมืองไนนิตาลซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือทะเลสาบไนนินและเมืองรานิเกต ไม่มีมาตรการอนุรักษ์น้ำ ธุรกิจน้ำซึ่งใช้น้ำบาดาลจึงเฟื่องฟู แต่การใช้น้ำบาดาลโดยไม่มีการควบคุมมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งแหล่งน้ำแร่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักในรัฐบนเทือกเขาหิมาลัย

    การท่องเที่ยวยั่งยืนอาจจะเป็นแนวทางแก้ไขวิกฤติน้ำที่กำลังเผชิญอยู่ได้ แต่ต้องพึ่งพาการร่วมมือจากคนในพื้นที่ และต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานที่เกี่ยวกับน้ำ ซึ่งจะเป็นแนวทางให้พื้นที่อื่นนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมต่อไป

    อุณหภูมิที่สูงขึ้นในบริเวณตอนเหนือ ตะวันตก และตอนใต้ของประเทศ ทำให้โอกาสฝนตกลดลงมาที่ 43% และมรสุมที่ล่าช้ากว่าเดิมก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ประกอบกับอินเดียก็มีนโยบายด้านน้ำน้อยมาก ขณะเดียวกันพื้นที่ชุ่มน้ำลดลง การรุกล้ำลงไปในน้ำ การขาดบำรุงรักษาระบบระบายน้ำ และการใช้น้ำบาดาลที่มากเกินไป รวมทั้งการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ จะมีผลกระทบถาวรต่อระดับน้ำในอินเดียและอาจจะทำให้ประเทศรั้งท้ายได้

    india-water-crisis2-620x413.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.thenewsminute.com/artic...-fleece-public-rates-increase-over-100-103859
    เรียบเรียงจาก bbc, asiatimes, indiatoday

    https://thaipublica.org/2019/06/india-chennai-water-crisis-lack-of-policy/
    อินเดียขาดแคลนน้ำรุนแรง “เจินไน” เมืองใหญ่อันดับ 6 วิกฤติสุด – ร้านอาหาร โรงแรมปิดชั่วคราว บริษัทให้พนง.ทำงานที่บ้าน 20 มิถุนายน 2019
    india-water-crisis-620x348.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.indiatoday.in/india/sto...du-media-illusion-scarcity-1551677-2019-06-19
    เจินไนหรือเดิมคือมัทราส ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 6 ของอินเดียในรัฐทมิฬนาฑู กำลังประสบวิกฤติขาดแคลนน้ำอย่างหนักติดต่อกันมาหลายสัปดาห์หลังแหล่งกักเก็บน้ำ 4 แห่งแห้งผาก

    ชาวบ้านต้องเข้าคิวนานนับชั่วโมงเพื่อรองน้ำจากแท็งก์น้ำของรัฐบาล ขณะที่โรงแรมและร้านอาหารหลายแห่งต้องปิดชั่วคราวหรือต้องลดชั่วโมงให้บริการลงเพราะขาดน้ำ ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งต้องแบ่งสรรปันส่วนน้ำ สถานีรถไฟใต้ดินต้องปิดเครื่องปรับอากาศ และหลายบริษัทขอให้พนักงานทำงานอยู่กับบ้านเพื่อประหยัดน้ำ

    ในเจินไนและพื้นที่รอบนอกมีโรงแรมขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กราว 8,000 แห่ง ซึ่งต้องการใช้น้ำประมาณ 150 ล้านลิตรต่อวัน

    สถานการณ์ที่เลวร้ายทำให้เกิดการปะทะกันในกลุ่มชาวบ้าน ในสัปดาห์ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชายคนหนึ่งที่แทงเพื่อนบ้านจากเหตุทะเลาะในการแบ่งน้ำใช้ระหว่างหมู่บ้าน

    เจ้าหน้าที่รัฐรายหนึ่งกล่าวว่า สถานการณ์จะดีขึ้นหากมีฝนตกลงมา และหน่วยงานด้านน้ำก็ได้พยายามหาแหล่งน้ำใหม่ แต่ประเด็นหลักคืออ่างเก็บน้ำแห้งมาก และระดับน้ำใต้ดินหรือน้ำบาดาลที่น้อยมาก ซึ่งปีก่อนๆ แม้จะมีปัญหาการขาดน้ำแต่ได้อาศัยน้ำใต้ดินมาช่วย

    การขาดแคลนน้ำไม่ได้จำกัดอยู่ที่เจินไน แต่กระจายไปทั่วหลายพื้นที่ในอินเดียทั้งในเมืองและชนบท แต่นายคเชนทรา สิงห์ เศขาวัต รัฐมนตรีกระทรวงน้ำของอินเดีย กล่าวในการแถลงข่าววันที่ 17 มิถุนายน ว่า รายงานการขาดแคลนน้ำเป็นการรายงานเกินความจริง เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีน้ำพอในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ และการขาดแคลนน้ำไม่ได้ร้ายแรงเหมือนที่สื่อรายงาน

    นายเค ปาลานิสวามี มุขมนตรีรัฐทมิฬนาฑู กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เหมือนกับที่สื่อรายงาน และเรียกร้องผู้สื่อข่าวไม่ให้บิดเบือนการขาดน้ำ และยังกล่าวว่า “ประชาชนต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือ สื่อเองก็อย่าสร้างภาพการขาดน้ำเกินจริง”

    นายปาลานิสวามีกล่าวว่า ภาวะแห้งแล้งและฤดูมรสุมที่ล่าช้ามีผลให้ระดับน้ำใต้ดินลดลง และรัฐต้องพึ่งพาน้ำบาดาลไปจนกว่าลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะนำฝนมาในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน นอกจากนี้ แม่น้ำกฤษณาที่รับน้ำจากเขื่อนในรัฐอานธรประเทศก็มีน้อย อย่างไรก็ตาม ได้มีการดำเนินการเพื่อจัดหาน้ำ โดยเฉพาะน้ำดื่มที่ต้องให้เพียงพอ ซึ่งจะประมูลน้ำจากทะเลสาปวีรนัมในเขตกุดาลูร์

    ศาลสูงในเจินไนดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อรัฐบาลทมิฬนาฑู กรณีไม่มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการขาดแคลนน้ำภายในรัฐ โดยก่อนหน้านี้ได้ขอให้รัฐบาลชี้แจงถึงมาตรการที่ดำเนินการในการแก้ไขวิกฤติน้ำ ศาลเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้มีการดำเนินการที่มากพอต่อการขาดแคลนน้ำรุนแรงในขณะที่ฤดูมรสุมล่าช้า

    ศาลสูงได้ไต่สวนการกรณีที่มีการร้องขอให้ตรวจสอบการใช้ประโยชน์จากน้ำบาดาลเพื่อการพาณิชย์ รวมทั้งสั่งการให้กรมโยธาธิการที่ระบุในคำร้อง นำส่งรายงานข้อมูลจำนวนอ่างเก็บน้ำทั้งหมดในรัฐ มาตรการในการกรองน้ำ และรายละเอียดอื่นอย่างครบถ้วน

    การวิเคราะห์ระดับน้ำในเขื่อน 91 แห่งทั่วประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พบว่า 85 เขื่อนมีระดับน้ำต่ำกว่า 40% และมี 65 เขื่อนที่ระดับน้ำต่ำกว่า 20% มีเพียง 2 เขื่อนใน 17 เขื่อนในรัฐมหาราษฏระที่ระดับน้ำมากกว่า 25% ส่วนอีก 7 เขื่อนที่เหลือระดับน้ำเท่ากับศูนย์ ประกอบกับฤดูมรสุมที่เกิดขึ้นช้ากว่าปกติยิ่งทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น ปกติแล้วลมมรสุมจะนำฝนมาให้ถึง 70%

    แม้ที่เจินไนมีโรงกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด แต่ก็มีปริมาณไม่มากพอที่จะชดเชยการขาดแคลนน้ำได้

    chennai-water-620x372.jpg
    ที่มาภาพ: https://daily-sun.com/post/400390/Chennai-water-crisis:-Citys-reservoirs-run-dry
    ในเดือนก่อนรัฐบาลได้ประกาศแจ้งเตือนภาวะภัยแล้งรัฐมหาราษฏระ รัฐคุชราต รัฐกรณาฏกะ รัฐอานธรประเทศ รัฐเตลังคานา และรัฐทมิฬนาฑู และขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัด หลังจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงมาที่ระดับวิกฤติ รวมทั้งระดับน้ำในแหล่งกักเก็บในทุกรัฐในทางใต้และวันตกลดลงต่ำอย่างมากในรอบ 10 ปี แม้แต่รัฐคุชราต บ้านเกิดของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ก็ประสบกับภาวะขาดแคลนน้ำ โดยเขตปกครอง 96 เขตจาก 250 เขตใน 17 ตำบลประกาศภาวะภัยแล้ง

    แม่น้ำนรรมทา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในทางตะวันตกของประเทศ และเป็นสายน้ำแห่งชีวิตของรัฐคุชราตและรัฐมัธยประเทศ กลับแห้งลงจนผู้เดินทางไปแสวงบุญที่วโฑทราสามารถนำรถลงไปจอดในร่องน้ำที่เคยมีน้ำไหลผ่านได้

    การที่ไม่ปล่อยน้ำจากเขื่อนสารทรสโรวารหรือปล่อยลงมาน้อยทำให้แม่น้ำซึ่งเคยมีกระแสน้ำไหลกว้างถึง 300 เมตรกลับแคบลงหลายเป็นสายน้ำที่มีความกว้างเพียง 6 เมตรเท่านั้น

    บังคาลอร์ เมืองไอทีในรัฐกรณาฏกะ ก็ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเช่นกัน การพัฒนาความเป็นเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว การจัดการน้ำที่แย่ ทะเลสาบที่มีฟองน้ำเสียฟูฟ่องและมลพิษที่แพร่เร็ว ทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดลงเร็วมาก จนในปี 2018 รัฐบาลได้คาดไว้ว่าใน 21 เมืองซึ่งรวมนิวเดลี บังคาลอร์ และเจินไน ระดับน้ำใต้ดินในเมืองก็จะไม่เหลือ หรือไม่อยู่ในระดับที่ตื้นพอที่จะนำมาใช้ ภายในปี 2020

    แหล่งกักเก็บน้ำได้ลดลงและอ่างเก็บน้ำก็แห้งขอด แต่รัฐบาลก็ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับวิกฤติ

    นายหิมานชู ธักการ์ ผู้ประสายงานเครือข่ายเขื่อน แม่น้ำและประชาชนเอเชียใต้ (South Asia Network on Dams, Rivers & People) ให้ความเห็นว่า ปัญหาเกิดจากการขาดความเข้าใจ การตระหนักถึงสถานการณ์ และการไม่ลงมือดำเนินการ เพราะโดยปกติแล้วมรสุมจะนำน้ำฝนมาให้ 70-80% และรัฐบาลควรจะจัดการได้ดี ที่เจินไนเจอวิกฤติอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ปลายเดือนกรกฎาคมปีก่อน อ่างเก็บน้ำทุกแห่งเต็มไปด้วยน้ำ แต่รัฐบาลกลับปล่อยน้ำออก อีกทั้งแหล่งกักเก็บน้ำตื้นขึ้น ดังนั้นน้ำจึงไหลลงแม่น้ำเสียมาก จึงจำเป็นที่จะต้องมีระบบกักเก็บน้ำฝน

    อินเดียเป็นประเทศเกษตรกรรม การปลูกธัญพืชต้องใช้น้ำปริมาณมาก อีกทั้งแผนการปลูกพืชที่ไม่ถูกต้องก็มีผลต่อวิกฤติน้ำด้วย

    ศรีปัท ธรรมาธิการี ผู้ก่อตั้ง Manthan Adhyayan Kendra องค์กรไม่แสวงกำไร กล่าวว่า ประเด็นหลักของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นคือสงวนน้ำไว้สำหรับดื่มและใช้ในครัวเรือน และแผนการปลูกพืชต้องปรับเปลี่ยน การใช้น้ำอย่างผิดๆ ในภาคการเกษตรจะสร้างผลกระทบมหาศาลและเป็นการใชน้ำในปริมาณมากเกินไป การปลูกพืชเกษตร เช่น อ้อยและข้าว ที่ต้องใช้น้ำมาก ต้องทบทวนกันใหม่

    การขาดแคลนน้ำไม่เพียงทำให้พืชผลเกษตรเสียหายและมีผลกระทบต่อครัวเรือน มีเกษตรฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า ในเขตวิทรพา รัฐมหาราษฏระ มีเกษตรกรฆ่าตัวตายมากที่สุดถึง 5,214 ราย รองลงมาคือเมืองออรังกาบัด ที่มีจำนวน 4,699 ราย จากภาวะภัยแล้ง นอกจากนี้ ในรัฐปัญจาบ ภาระหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง และไม่สามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้ ก็เป็นอีกสาเหตุของการจบชีวิตของเกษตรกร

    พื้นที่ชนบทหลายแห่งขาดแคลนน้ำดื่มและไม่มีน้ำใช้เพียงพอที่จะใช้ทำความสะอาด ซักเสื้อผ้า แม้แต่ในห้องน้ำ จึงมีน้ำเสียและน้ำที่ปนเปื้อนสูงขึ้น ประชาชนจำนวนมากเดือดร้อนจากภาวะร่างกายขาดน้ำ ผู้หญิงในชนบทต้องเดินเท้าไปหาน้ำจากหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งต้องเข้าแถวยาวรอ เกษตรกรอินเดียจึงดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่

    india-water-crisis1-620x347.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.indiatoday.in/india/story/chennai-water-crisis-hospitality-industry-1550788-2019-06-17
    ในทางตอนเหนือของประเทศซึ่งเป็นภูเขาส่วนใหญ่ก็ประสบกับปัญหาแหล่งน้ำลดลงเช่นกัน เป็นผลจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวที่โตเร็วมาก ทำให้เกิดวิกฤติน้ำ มลพิษการสัญจรของรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการก่อสร้างโรงแรมใหม่

    ในปีที่ผ่านได้มีการรณรงค์แคมเปญ หยุดเที่ยวชิมลา หรือ #StopVisitingShimla เพราะชาวบ้านที่นั่นประสบวิกฤติน้ำในหิมาจัลประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ระบบนิเวศของเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าวิตก

    เพราะนักท่องเที่ยวเดินทางไปราว 100,000 คนต่อปี ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยในพื้นที่เพียง 172,000 คน ยิ่งมีผลกระทบต่อพื้นที่ซึ่งหาน้ำได้ยากอยู่แล้ว

    ในชิมลา ปกติน้ำดื่มบรรจุขวดจำหน่ายในราคา 20 รูปี แต่ในหน้าร้อนที่แล้วราคาได้พุ่งขึ้นถึง 100 รูปีเพราะฝนตกน้อย ระบบน้ำไม่มีการสำรวจมานาน การขาดมาตรการอนุรักษ์น้ำและหน่วยงานรัฐบาลขัดแย่งกันเองกรณีน้ำบรรจุขวดทำให้ชิมลาเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เจอวิกฤติน้ำ

    ในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ศาลสูงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานติดตามกระแสนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเมืองมัสซูรี ในรัฐอุตรขัณฑ์ ก็พบว่าเมืองได้รับการจัดสรรน้ำเพียง 7.60 ล้านลิตรต่อวันขณะที่ความต้องการน้ำในหน้าร้อนสูงสุดถึง 14.5 ล้านลิตรต่อวัน เมืองไนนิตาลซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือทะเลสาบไนนินและเมืองรานิเกต ไม่มีมาตรการอนุรักษ์น้ำ ธุรกิจน้ำซึ่งใช้น้ำบาดาลจึงเฟื่องฟู แต่การใช้น้ำบาดาลโดยไม่มีการควบคุมมีผลกระทบอย่างมาก ทั้งแหล่งน้ำแร่ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักในรัฐบนเทือกเขาหิมาลัย

    การท่องเที่ยวยั่งยืนอาจจะเป็นแนวทางแก้ไขวิกฤติน้ำที่กำลังเผชิญอยู่ได้ แต่ต้องพึ่งพาการร่วมมือจากคนในพื้นที่ และต้องให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานที่เกี่ยวกับน้ำ ซึ่งจะเป็นแนวทางให้พื้นที่อื่นนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมต่อไป

    อุณหภูมิที่สูงขึ้นในบริเวณตอนเหนือ ตะวันตก และตอนใต้ของประเทศ ทำให้โอกาสฝนตกลดลงมาที่ 43% และมรสุมที่ล่าช้ากว่าเดิมก็ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ ประกอบกับอินเดียก็มีนโยบายด้านน้ำน้อยมาก ขณะเดียวกันพื้นที่ชุ่มน้ำลดลง การรุกล้ำลงไปในน้ำ การขาดบำรุงรักษาระบบระบายน้ำ และการใช้น้ำบาดาลที่มากเกินไป รวมทั้งการเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ จะมีผลกระทบถาวรต่อระดับน้ำในอินเดียและอาจจะทำให้ประเทศรั้งท้ายได้

    india-water-crisis2-620x413.jpg
    ที่มาภาพ: https://www.thenewsminute.com/artic...-fleece-public-rates-increase-over-100-103859
    เรียบเรียงจาก bbc, asiatimes, indiatoday

    https://thaipublica.org/2019/06/india-chennai-water-crisis-lack-of-policy/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    VACC Tokyo ออกคำเตือนช่วงสายวันนี้ให้สายการบินพานิชย์ที่บินในย่านนี้พิจารณาเส้นทางหลบเลี่ยงที่ปลอดภัยจากเส้นทางเขม่าที่ปะทุจากภูเขาไฟ Raikoke [ที่มา]
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ... "จีน เปิดตัวเรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก VLCC"
    ... VLCC หรือ very large crude carrier (VLCC) เป็นเรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่และทันสมัยที่มุด บรรจุได้ถึง 308,000 ตัน และระบบภายในที่ทันสมัย ทำให้การเดินเรือและการควบคุมน้ำมันได้ความละเอียดแม่นยำ
    ... โดยเรือนี้เทียบท่าที่ต้าเหลียน เมืองเหลี่ยวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีชื่อว่า "New Journey" มีความยาว 300 เมตร เทียบเท่ากับความยาวของรถบรรทุกขนาด 5 ตัน 35 คันต่อกัน
    ... เรือลำนี้ผลิตโดยบริษัทจากจีน Dalian Shipbuildin โดยมีแนวคิดว่า "สมองที่ล้ำเลิศ จะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและความปลอดภัย" 'Intelligent brain' brings efficiency, security
    ... โดยการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลเครือข่ายที่รองรับถึงห้าฟังก์ชั่นอัจฉริยะที่สำคัญ รวมถึงระบบนำทางอัตโนมัติ, ช่วยการจัดการสินค้าอัจฉริยะ
    ,การจัดการพลังงานอย่างครอบคลุม , การใช้งานอุปกรณ์และการบำรุงรักษา และการสื่อสารระหว่างเรือกับฝั่ง
    ... เช่น การรับและขนถ่ายน้ำมันเข้าที่เรือ จะทำให้ระบบสมดุลขอเรือไม่เสียหาย โคลงเคลง ที่ระบบเดิมนั้นอาจจะถึงกับเรือรั่วได้ , ยังมีระบบการวางแผนการเดินเรือที่ทันสมัยกว่าเดิม รวมทั้งระบบความปลอดภัย เรือที่ใหญ่ยิ่งต้องมีรัศมีการเลี้ยวกว้างขึ้นมาก ดังนั้นจึงต้องการระบบควบคุมการเลี้ยวที่ปลอดภัยมากขึ้น ที่มีการประมวลผลระหว่างตำแหน่งเรือ ความเร็วและการเลี้ยวที่แม่นยำ
    ... ในปัจจุบันนี้ เรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่ นั้น ถูกผลิตในจีน 1 ใน 10 very large crude carrier (VLCC) ที่มีแนวโน้มว่ากำลังจะพัฒนาเพื่อครองส่วนแบ่งตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยระบบที่ทันสมัยกว่า ตามนโยบาย "Made In China 2025" ของจีน
    .
    ... It was constructed by Dalian Shipbuilding Industry Co., Ltd. (DSIC) of China Shipbuilding Industry Corporation (CSIC) for China Merchants Energy Shipping Co., Ltd.
    "At present, countries around the world are actively promoting intelligent navigation and developing intelligent technologies for ships, which plays an important role in improving maritime traffic safety, energy conservation, emission reduction and economic efficiency," said Guan Yinghua, vice chief engineer of DSIC.

    https://news.cgtn.com/news/2019-06-...C-delivered-in-NE-China-HKMdhwZd6w/index.html
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,670
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Candy Bella
    ความจริงเบื้องหลังภาพอันน่าสลดใจ.. ภาพช่วงเวลาสุดท้ายของ โอมายรา ซานเชส
    โอมายรา ซานเชส (Omayra Sánchez) อายุ 13 ปี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเสียสละ และถูกยกให้เป็นหนึ่งในภาพที่ทรงพลังที่สุด คุณอาจเคยได้เห็นภาพภาพนี้มาบ้างแล้ว แต่คุณอาจยังไม่เคยได้รู้เรื่องราวอันยิ่งใหญ่ในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอที่ทำให้ภาพดังกล่าวทรงพลังจนทุกวันนี้.....
    โอมายรา ซานเชส อายุ 13 ปี เสียชีวิตในวันที่คนทั้งโลกมองดูเธอตาย เมื่อ 16 พฤศจิกายน 1985 หลังเหตุการณ์ภูเขาไฟ Nevado del Ruiz ที่ตั้งอยู่ในประเทศโคลอมเบียเกิดปะทุ ทำให้แผ่นดินถล่มทำลายล้างทั้งหมู่บ้านของโอมายรา ประชาชนจำนวนมากต้องล้มตายไปกว่า 20,000 คน และมีอีกหลายคนต้องติดอยู่ใต้เศษซาก เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลที่ไร้ความสามารถในการใช้มาตรการป้องกัน หลังเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสัญญาณเตือนภัยช้าไป
    โอมายรา ซานเชส ได้กลายหนึ่งในเหยื่อของภูเขาไฟระเบิดที่ร้ายแรงที่่สุดในประวัติศาสตร์ ช่วงล่างของเธอถูกคอนกรีตขนาดหนักทับเอาไว้ ขณะที่ระดับน้ำสูงจนมิดคอ เธอไม่สามารถโผล่ขึ้นมาจากน้ำได้ ใช้แขนเกาะอยู่กับกิ่งไม้ที่ถล่มมาพร้อมกับเศษซากบ้านของเธอ เจ้าหน้าที่กาชาดมาอยู่กับเธอในที่เกิดเหตุ แต่ช่วยเธอขึ้นมาไม่ได้ เพราะต้องตัดขาทั้ง 2 ข้างของเธอ แต่มันจะทำให้เธอเสียเลือดมาก และเสี่ยงอันตรายขึ้นไปอีกเพราะไม่มีอุปกรณ์ผ่าตัด และเครื่องมือช่วยชีวิตที่พร้อม
    พวกเขาทำได้เพียงแต่ช่วยวิดน้ำออก และรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ยังคงไม่มีวี่แววความช่วยเหลือจากรัฐบาล ทุกคนรู้ว่าไม่มีทางช่วยเธอขึ้นมาได้ พวกเขาจึงอยู่กับเธอ สวดภาวนา คอยให้กำลังใจ เฝ้าดูวาระสุดท้ายของเธอแต่ทำอะไรไม่ได้ สถานีโทรทัศน์ได้ออกอากาศช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ และทั้งโลกก็ได้เห็น แม้จะรู้ชะตากรรม แต่เธอยังคงยิ้มสู้ ร้องเพลง และให้สัมภาษณ์กับนักข่าวทั้งสภาพแบบนี้
    เธอส่งจูบ และโบกมือยิ้มให้กับกล้อง คอยให้สัมภาษณ์นักข่าว พูดคุยกับทุกคน และแน่นอนว่าเธอรู้สึกกลัวเพราะความตายใกล้มาถึง เธอสวดมนต์และร้องไห้ ผู้ที่อยู่ใกล้เธอร้องไห้ตามไปด้วย เธอขอร้องให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยปล่อยเธอทิ้งไว้เพื่อให้พวกเขาได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน เพราะผ่านไป 3 วันแล้วเธอยังคงติดใต้ซาก เริ่มมีอาการประสาทหลอน ตัวซีด หน้าเริ่มบวม ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ
    และภาพอันทรงพลังนี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดโดยช่างภาพนาม แฟรงก์ โฟร์เนียร์ หลังจากภาพนี้ถูกถ่ายไว้ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โอมายรา ได้เสียชีวิตลง หลังตกอยู่ในสภาพนี้มานานถึง 55 ชั่วโมง การตายของเธอทำให้เกิดการช่วยเหลือจากหน่วยงานนานาชาติลงพื้นที่ไปช่วยประชาชนที่ยังคงติดอยู่ใต้ซาก และสามารถช่วยกลับมาได้อีกหลายชีวิต แม้เธอรู้ว่ากำลังจะตาย เธอส่งจูบ โบกมือ และยิ้มให้กับกล้อง ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    .....ตลอดเวลา เธอได้แต่ขอร้อง ให้ทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อน ไม่ต้องเสียเวลาช่วยเธอ.....
    #นี่คือภาพถ่ายนาทีชีวิตที่ทุกๆคนค่อยๆเห็นเธอจมน้ำตายและเป็นภาพถ่ายประวัติศาสตร์ของโลกภาพนึงเลยทีเดียว...

    ที่มา: JARM
    [ชมคลิปที่คอมเม้นแรกค่ะ]

    FB_IMG_1561296808238.jpg FB_IMG_1561296811097.jpg FB_IMG_1561296824656.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2019

แชร์หน้านี้

Loading...