ไสยศาสตร์ ความหมายของคำว่า ไสยศาสตร์ ประวัติไสยศาสตร์ ไสยเวทย์ ลัทธิไสยศาสตร์

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 9 พฤศจิกายน 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ไสยศาสตร์ เป็นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์ คาถา และ เลขยันต์ ประกอบกับการใช้อำนาจสมาธิจิต การสาธยายเวทมนตร์คาถา การภาวนา และการปลุกเสก ไสยศาสตร์ หรือ ศาสตร์มืด คือการทำ "คุณไสย" ในพจนานุกรมไทยให้คำจำกัดความ คุณไสย ว่า "เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายอมิตร" เป็นศาสตร์ที่ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป และมีคนเชื่อและผู้ปฏิบัติทั่วโลก

    ในแต่ละชุมชนจะมีรูปแบบของไสยศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่สรุปแล้วไสยศาสตร์ก็คือการทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยผิดแปลกจากกฏของธรรมชาติ เช่น ทำให้สามีภรรยาที่ดี กันทะเลาะและแยกทางกัน ทำให้สาวหลงรักหนุ่มที่เคยเกลียด ซึ่งปกติแล้วจะใช้ไสยศาสตร์มาใช้ในทางที่ชั่วร้าย โดยเฉพาะการทำ "คุณไสย" ที่เป็นพิธีกรรมเพื่อทำร้ายผู้ไม่เป็นมิตรด้วย

    การปลุกเสกสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าไปในตัว หรือฝังรูปฝังรอย หรือการทำเสน่ห์ยาแฝด ลงนะ จากผู้ที่อ้างตัวว่ามีอาคม ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกที่ทำมาหากินด้วยการหลอกลวงผู้คน หรือที่เรียกว่าพวกสิบแปดมงกุฎ ถึงกระนั้นก็ตาม“คุณไสย” หรือ “มนต์ดำ” ยังมีผู้หลงงมงายมากมาย

    ไสยศาสตร์ถือเป็นศาสตร์ที่ลี้ลับมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมีทั่วโลกแม้กระทั่งในเวลาปัจจุบัน แม้รูปแบบจะแตกต่างกัน แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ การทำอันตรายต่อผู้คนด้วยวิธีที่ลี้ลับลัทธิไสยศาสตร์ คือการรวมอำนาจจิต รวมพลังงานทางจิตซึ่งได้ทำการอบรมจิตใจให้มีความยึดมั่น เชื่อถือ อย่างจริงจัง ดำเนินไปตามหลักทางไสยศาสตร์ ตามวิธีการนั้น ๆ ก็จะสามารถแสดงฤทธิ์ปาฎิหารย์ได้ด้วยกระแสคลื่นแห่งพลังอำนาจจิตอันแรงกล้า ของ มโนภาพ สมาธิ จิตตานุภาพ ทั้งสามประการนี้ จึงเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจที่ประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้

    ลัทธิไสยศาสตร์ ได้เกิดขึ้นมาก่อนพุทธกาล ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ไตรเพท ในลัทธิของพราหมณ์ ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ

    ฤคเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์และสรรเสริญพระเจ้า

    ยชุรเวทย์ เป็นคำร้อยแก้วให้สำหรับท่องบ่นเวลาบวงสรวงบูชาพระเจ้า

    สามเวทย์ เป็นคำฉันท์ใช้สำหรับสวดมนต์ทำพิธีถวายน้ำโสม

    อาถรรพเวทย์ เป็นคัมภีร์ประกอบด้วยเวทยมนต์คาถาเรียกผีสาง เทวดาให้ช่วยป้องกันอันตรายให้ และให้มีการแก้อาถรรพ์ ทำพิธีสาปแช่งให้เป็นอันตรายได้ด้วย


    ประวัติไสยศาสตร์ ไสยเวทย์ ลัทธิไสยศาสตร์

    คำว่า ไสย หมายถึง ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทย์มนต์ คาถา และวิทยาคม ไสยนั้นแบ่งออกเป็นไสยขาว อันหมายถึงวิชชาอันลึกลับใช้เวทย์มนต์ไปในทางที่ดี เช่นการทำเครื่องราง ของขลังและวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อป้องกันภัยอันตราย หรือเพื่อเป็นเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์และอิทธิวิธี ส่วนไสยดำหมายถึงวิชชาที่กระทำคนให้เป็นไปต่างๆนาๆเช่น ปล่อยคุณไสย ปล่อยตะปูเข้าท้องคนอื่น ปล่อยหนังควายเข้าท้อง บิดลำใส้ ปล่อยผีไปทำร้ายผู้อื่นให้มีอันเป็นไปต่างๆนาๆ นำบาตรวัดร้างไปฝังเพื่อทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด เป็นต้น

    คำว่า ไสย นี้แปลความหมายอีกอย่างก็หมายถึงสิ่งที่ลึกลับที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อได้นอกจากเมื่อมันได้ออกมาเป็นผลลับแล้วเท่านั้น ส่วนคำว่า ศาสตร์ หมายถึง ตำรา วิชา วิทยาคำสั่ง ข้อบังคับบัญชา ศาสนา รวมเข้ากับไสย เป็นไสยศาสตร์ อันหมายถึง ตำราทางไสยยาศาสตร์ลึกลับเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ เวทย์มนต์ คาถา อำนาจจิต เป็นต้น

    ไสยเวทย์ ไสยศาสตร์ หมายถึงตำราทางไสย วิชาทางไสย ไสยศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยลัทธิเวทย์มนต์คาถาและวิยาคมเป็นศาสตร์ๆหนึ่งที่แยกย่อยมาจากศาสตร์ 18 ประการของอินเดียโบราณไสยศาสตร์แทรกอยู่ในความเชื่อของคนไทยมาตราบนานเท่านานกว่า7,000 ปี และแทรกอยู่กับความเป็นอยู่ของคนไทยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เช่นการเสกทำน้ำมนต์ให้คลอดง่าย โกนผมไฟ ทำขวัญ สร้างบ้านใหม่ ขึ้นบ้านใหม่ ทำขวัญ สวดบ้าน ตราสังข์ ทำโลงศพ เอาศพลงจากเรือน ทำประตูป่า ทำบันไดผี นำศพขึ้น เผา การเสกน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์

    และประเพณีไทยหลายๆอย่างล้วนแต่แทรกด้วยไสยศาสตร์ทั้งสิ้น ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญไปถึงไหนเพียงใดวิทยาการอินฟอเมชั่นเทคโนโลยี่จะก้าวหน้าไปเพียงใดขนาดไหน แต่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ไม่มีวันที่จะหมดไปจากมนุษย์ชาติได้เหตุผลเพราะว่าเป็นศาสตร์ๆหนึ่งที่ดำรงอยู่ในโลกมนุษย์มานาน มากแล้วและมิใช่เพียงแต่เมืองไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์หลายๆประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้วก็ยังมีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์ของประเทศนั้นนั้นอยู่

    ส่วน พิธีกรรม ไสยกรรมนั้นอาจไม่เหมือนกัน ในเมืองไทยในแต่ละภาคนั้นการประกอบพิธีกรรมต่างๆในแต่ละภาคนั้นก็ไม่เหมือนกัน สรุปแล้วไสยศาสตร์และไสยเวทย์มิใช่สิ่งที่ เลวร้ายขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้เช่นการสกยันต์หากสักแล้วไม่ไปเป็นโจรผู้ร้ายไม่ไปปลิ้นชิงรบราฆ่าฟันเบียดเบียนเขาและตั้งตนอยู่ในศีลธรรมของนั้นก็จะคงทนถาวรไม่เสื่อม และยิ่งเข้มขลังยิ่งนัก และเป็นไสยศาสตร์ที่ประดับบารมีชายชาตรีมาแต่โบราณกาล

    ดังหลักฐานบันทึก .ความทรงจำ.พระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า....? ส่วนตัวฉันเองจะเป็นใครแนะนำจำไม่ได้เสียแล้ว เกิดอยากเรียนวิชาอาคม คือวิชาที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรีด้วยเวทย์มนต์และเครื่องรางต่างๆ มีผู้พาอาจารย์มาให้รู้จัก หลายคน ที่เป็นตัวสำคัญนั้นคือนักองค์วัตถา น้องสมเด็จพระนโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา...การศึกษาวิทยาคมในสมัยนั้น โดยเฉพาะเด็กกำลังรุ่นหนุ่มเช่นตัวฉัน ด้วยได้ฟังเขาเล่า เรื่องและบางทีทดลองให้เห็นอิทธิฤทธ์ กับทั้งได้สะสมมีเครื่องรางแปลกๆประหลาดที่ไม่เคยเห็น....?

    ไสยศาสตร์เป็นลัทธิความเชื่อ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่เกิดขึ้น และดำรงอยู่จริง คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ในโลกใบนี้ไร้มนุษย์ที่เชื่อไสยศาสตร์ บุคคลที่มีญาณทัศนะลึกล้ำ เข้า ใจเหตุปัจจัยแห่งการก่อเกิดสรรพสิ่ง ทั้งชีวิต สังคม และจิตวิญญาณ จะไม่มองเหตุที่เกิดขึ้นเพียงด้านใดด้านหนึ่งแล้วปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หากไสยศาสตร์แล้วที่ทำให้ผู้เชื่อมั่น นั้นสามารถคลายทุกข์ไปได้ มีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เวทย์มนต์ไสยศาสตร์ก็มิใช่สิ่งที่เลวร้าย ความงมงายในสิ่งที่ดีงามทำแล้วให้ตนเองสมหวังมีความสุขย่อมไม่ใช่สิ่งที่ ไม่มีเหตุผล

    ข้อห้ามทางกาละ

    1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่
    2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน
    3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม
    4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ
    5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม
    6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ
    7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ
    8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง
    9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ
    10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก
    11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู
    12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม)
    13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด
    14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น
    15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม
    16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม
    17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม
    18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว
    19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที
    20. ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว)
    21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล


    www.itti-patihan.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤศจิกายน 2010
  2. เทพคาถา

    เทพคาถา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +374
    เชื่ออย่างพระพุทธเจ้าสอน10ประการ เชื่อแบบสมเหตุ ปฏิบัติได้จิงเดะๆ
    ------------------------
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2010
  3. biww

    biww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +202
    เป็นกุศโลบายของคนโบราณที่แฝงคติจริยธรรมด้วยคับ
    ข้อห้ามทางกาละ

    1.ห้ามผิวปากเวลากลางคืนเชื่อว่าจะโดนคุณไสยที่ล่องลอยอยู่ ( สอนให้รู้จักมารยาทเวลากลางคืนเป็นเวลาผักผ่อนของคนอื่น ไม่ควรผิวปากหรือทำเสียงดังในเวลาดึกดื่น )
    2.ห้ามโพกหัวหรือสวมหมวกในวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าหัวจะล้าน (สอนให้รู้จักการคารวะสถานที่ อันเป็นมารยาทที่ดีของบัณฑิตชนเวลาเดินทางไปในศาสนสถานต่าง ๆ ของทุกศาสนา)
    3.ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วมเชื่อว่าวาจาจะเสื่อม ( สอนให้รู้จักรักษามารยาทในการใช้สาธารณะประโยชน์ และเป็นสุขลักษณะด้วย เพราะน้ำลายเป็นพาหะโรคร้ายหลายอย่าง )
    4.ห้ามนั่งบนขั้นบันไดเพราะผีบ้านผีเรือนไม่ชอบ ( สอนให้รู้จักการนั่งในที่ควร , เพราะอาจเกิดอันตรายแก่ตนและขวางทางผู้อ่นด้วย เพราะบันไดเป็นทางเข้าออกของคนในบ้านทุกคน)
    5.ห้ามนั่งบนหมอนเชื่อว่าคาถาจะเสื่อม ( อันนี้เพื่อสุขลักษณะอย่างแท้จริงหมอนใช้หนุนในเวลานอนต้องมีการทำความสะอาดอยู่เสมอ ๆ การนั่งบนหมอน มั่นใจเหรอว่าตัวเราไม่มีเชื้อโรคที่จะทำให้หมอนสกปรก)
    6.ห้ามเล่าความฝันในขณะทานข้าวเชื่อว่าแม่โพสพท่านไม่ชอบ ( สอนมารยาทในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น , และป้องกันอาหารติดคอ , มูมมาม)
    7.ห้ามเดินข้ามหนังสือเพราะเชื่อว่าจะเรียนไม่จำ (เป็นคารวะธรรมต่อตัวอักษรเป็นของสูงและเป็นการให้ความเคารพต่อครูบาอาจารย์ )
    8.ห้ามนุ่งผ้าเปียกเข้าบ้านเพราะเชื่อว่าผีไม่กลัวและจะทำให้ปวดท้อง ( เมื่อกันเรื่องนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะเด็กสาวในบ้านที่กำลังเป็นสาว ยังไม่ได้ออกเรือน)
    9.ห้ามหญิงมีครรภ์ทำหน้าบึ้งเวลาจะหลับเชื่อกันว่าลูกออกมาจะไม่สวยไม่หล่อ ( สอนให้รู้จักการผดุงครรภ์ของหญิงมีครรภ์ มีผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์)
    10.ห้ามดมดอกไม้ที่จะนำไปถวายพระเชื่อกันว่าจมูกจะเป็นไซนัสหรือริดสีดวงจมูก ( การดมดอกไม้อย่างไกล้ชิด เสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ , เกี่ยวทางเดินหายใจ (ในกรณีที่สูดดมบ่อย ๆ นะครับ) และยังเป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือด้วย
    11.ห้ามหลับเวลาฟังพระเทศเชื่อว่าชาติหน้าจะเกิดเป็นงู ( อันนี้มารยาทในการฟังธรรมเลย ผู้ฟังด้วยดีควรปฏิบัติตนอย่างนี้เลย)
    12.ห้ามเอาของคืนเมื่อให้ผู้ใดไปแล้วเชื่อว่าจะเป็นเปรต(นอกจากให้ยืม) ( สอนการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ และเป็นมารยาทของผู้ให้ที่ดี ถ้าเดี่ยวก็ให้เดี๋ยวก็เอาคืนอันนี้ยุ่งนะครับ)
    13.ห้ามกวาดขยะกลางคืนเชื่อว่าผีไม่คุ้มและกวาดทรัพย์ออกหมด ( ไม่ใช่เวลาทำความสะอาดอาจเกิดเสียงรบกวนผู้อื่นที่กำลังพักผ่อน)
    14.ห้ามตัดเล็บกลางคืนเชื่อว่าอายุจะสั้น ( เดี่ยวจาโดนเนื้อนะครับ เมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนเดี๋ยวนี้)
    15.ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วยและไม้ค้ำบ้านและห้ามลอดราวผ้าและห้ามลอดใต้แขนคนอื่นเพราะจะทำให้ของเสื่อม ( ของที่ค้ำไว้แปลว่ามันมีการเอียง หรือจะล้มได้ มันจะตกหัวนะครับ สอนเรื่องความไม่ประมาท)
    16.อย่าให้ใครข้ามหัวเพราะจะทำให้อาคมเสื่อมและของทุกอย่างเสื่อม ( อันนี้สำคัญมากดีไม่ดีถึงตายได้ ใครจะอยากให้คนข้ามหัว เป็นมารยาทที่สำคัญมาก)
    17.ห้ามด่าแม่ผู้อื่นเพราะสาริกาลิ้นทองจะเสื่อม ( มารดาบิดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร สอนคารวะธรรม (การบูชาบุคคลที่ความบูชาเป็นเครื่องนำความเจริญมาให้) และความกตัญญูกตเวที และการเคารพและให้เกียรติผู้อื่นด้วย ข้อดี ใรไม่ปฏิบัติตามอาจพบเจอมนุษย์ภัยถึงตายได้เลยนะครับ)
    18.คนสักยันต์ห้ามกินฟักแฟงบวบน้ำเต้าและปลาไม่มีเกล็ดเพราะเชื่อว่าหนังจะไม่เหนียว ( สอนให้มีสติระลึกถึงข้อห้ามของครูบาอาจารย์ให้สอนวิชามา ทั้งยังเป็นการเตือนตนว่าเป็นคนมีครู มีวิชา ทำให้มีความเชื่อมั่นในวิชาหรือหลักศาสนาที่เล่าเรียนมา จิตวิทยาอย่างหนึ่ง)
    19.หากไปในที่สถานที่แปลกๆห้ามทักเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆเพราะเชื่อกันว่านั่นคือคุณไสย หรือของไม่ดีหากใครทักจะเข้าตัวทันที (การรักษากิริยาให้มีความงาม อย่าตื่นเต้น ตกใจ จนเกินประมาณ จะเสียกิริยา)
    20. ห้ามนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าวิญญาณจะออกจากร่าง(อีกอย่างหนึ่งเป็นทิศที่หันหัวคนที่ตายไปแล้ว) ( สอนให้รู้จักนอนให้เป็นที่เป็นทางครับ)
    21.ห้ามขึ้นบ้านวันเสาร์ เผาศพวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ เพราะเป็นอัปมงคล (อันนี้เป็นวิถีแห่งความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ครับ เกี่ยวกับคามเป็นมาของคัมภีร์พระเวทย์ เทววิทยาของศาสนิกชนศาสนาพรหมณ์-ฮินดูครับ)

    ผมว่าคนโบราณเก่งนะครับ เอาหลักปรัชญามาผสมผสานกับหลักความเชื่อหรือหลักศาสนา สอนคนในยุคก่อน มีประโยชน์มาก เป็นการแสดงภูมิปัญญาระดังสูงของคนในยุคก่อน เชื่อไว้เถิดบางอย่างมีประโยชน์มากครับ
     
  4. เทพคาถา

    เทพคาถา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    231
    ค่าพลัง:
    +374
    อืม................อ่านเพลินดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...